เคยได้ยินเรื่องคำสาปไหม?
คำสาปที่พูดถึงเรื่องเมื่อใครสักคน ที่ไปรักใคร
แล้วคนๆ นั้นจะต้องจากไปตลอดกาล
ฟังแล้วเหมือนนิทานปรัมปรา
แต่คุณต้องลองฟังเรื่องของน้องคนนึง
เธอชื่อ "วิโลน"
วิโลนเข้ามาทำงานที่แพในวันหนึ่งที่งานวุ่นวาย
ฉันไม่เคยเจอวิโลนมาก่อน ได้เคยได้ยินข่าวว่าวิโลนเป็นศิษย์เก่าแพ
(คือเคยทำงานที่แพมาก่อนนั่นเอง)
วิโลนเป็นเด็กสาวชาวพม่า อายุ 16 ปี
หน้าตาบ้องแบ้ว ผมดำยาว ตาโต คิ้วเข้ม
อวบระยะสุดท้าย (ใกล้เดินทางมาถึงคำว่าอ้วนแล้ว)
วิโลนเหมือนของป่า มีความเชื่องและความก้าวร้าวอยู่ในเวลาเดียวกัน
ของป่า ที่ต้องรู้จักวิธีกิน จึงจะเป็นยา
แต่หากกินผิดวิธี อาจจะเป็นยาพิษ
วิโลนมาทำงานพร้อมกับแฟน (หรือผัวในลักษณะการเรียกของชาวบ้านแทบนั้น)
ชื่อ วัน
วันเป็นเด็กหนุ่มชาวพม่าเช่นกัน
หน้าตาดี คิ้ิวเข้ม มีเขี้ยวเสน่ห์ ร่างกายกำยำ สำเนียงเหน่อนิดๆ
วันเป็นคนที่ขยันทำงาน แต่ไม่ค่อยพูด
หลายครั้งถึงกลายเป็นคนอู้งานไปโดยปริยาย เพราะไม่ยอมบอกว่าตัวเองทำงานอะไรบ้างวันหนึ่งวัน
วิโลนเป็นเด็กที่มาพร้อมกับข่าวลือ
"วิโลนน่ะ มันมั่วผู้ชาย ไม่อยากพูดหรอกนะ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา"
"..ก็ที่หายไปน่ะ มันหายไปคลอดลูก แล้วก็ให้ลูกญาติเลี้ยงไป"
"..ไอ้วันน่ะ มันเป็นคนดี แล้วดันเข้ามาในช่วงเวลาซวย"
"..."
คำพูดที่ไม่อยากจะพูดของคนหลายคนที่เป็นผู้ใหญ่
หลายครั้งก็เป็นคำพูดที่รุนแรง และทำร้ายเด็กจริงๆ
ฉันเองก็ไม่ได้คุยกับวิโลนมากนัก
จนกระทั่งวันหนึ่งที่ต้องพาวิโลนมาช่วยกวาดใบไม้
"พี่แนนรู้ไหม หนูแอบมองพี่แนนตลอดเลย เพราะพี่แนนสวย
พี่แนนสวยเหมือนแม่หนูเลย" วิโลนพูด
"อ่าว แล้วแม่วิโลนอยู่ที่ไหน?" ฉันสงสัย
"แม่หนูตายไปแล้ว ตายไปตั้งแต่หนูเด็กๆ" วิโลนพูดแววตาว่างเปล่า
"แม่หนูไม่สบายนานแล้ว แม่นอนอยู่บ้าน พ่อกับหนูก็ต้องทำงาน
แล้ววันนึง หนูเห็นแม่นอนตัวสั่น หนูวิ่งไปบอกพ่อว่า
- พ่อๆ หนูว่าแม่กำลังจะตาย แม่ไม่สบายมากๆ เลย -
พ่อหนูต้มมันอยู่ ก็ชะโงกหน้ามาดูแม่นิดนึง แล้วก็บอกว่า
- แม่มึงก็ไม่สบายทุกวันแหละ -
แล้วพ่อก็ต้มมันต่อ หนูเลยไปนั่งเฝ้าแม่คนเดียว
พี่รู้มะ แม่ตายต่อหน้าต่อตาหนูเลย
คาตาหนู หนูร้องไห้บอกพ่อว่าแม่ตายแล้วๆ"
วิโลนเล่าเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
"แล้วพ่อหนูทำยังไง ตกใจเลยสิ?" ฉันฟังแล้วชักเหวอ
"พ่อหนูเดินมาดู แล้วก็กลับไปต้มมันต่อ
หนูร้องไห้ วิ่งข้ามเขาไป 3 ลูก ไปบอกป้าว่าแม่ตายแล้ว"
นี่คือการสูญเสียแรกของวิโลน
"แล้วหนูโตมายังไง พ่อเลี้ยงมาเหรอ?" ฉันถาม
"ป่าวค่ะ ป้าหนูเลี้ยงมา ป้าดุมาก ป้าเอาหนูกับพี่ไปเลี้ยง"
วิโลนเล่าไป กวาดพื้นไป
"แล้วพอพี่หนูแต่งงาน หนูก็ย้ายไปอยู่กับเขา
ดีเชียว พี่หนูใจดี แล้ววันนึงผัวเขาก็ซื้อหวย
แล้วถูกหวยด้วยพี่แนน รางวัลใหญ่เลย
ตอนแรกคิดกันว่าสบายแล้วๆ
แต่พี่สาวหนูดันซักเสื้อ แล้วตั๋วมันอยู่ในกางเกงผัวเขา
มันเลยหายไปหมดเลย พี่หนูเสียใจมาก"
"แหงดิ เป็นพี่ก็เสียใจ โคตรเสียดายอ่ะ" ฉันคิดตาม
"แล้ววันนึงหนูเดินกลับบ้าน มันมีบึงที่เราไปจับปลากัน
หนูก็ไปกับพี่อีกคน จะไปจับปลา
พี่แนนรู้ไหม หนูเจออะไร?"
"อย่าบอกว่าตั๋วหวย!"
"หนูเจอพี่สาวหนูนอนอยู่ในบึง นอนคว่ำอยู่ในน้ำ พี่สาวหนูฆ่าตัวตายมั๊งหนูคิด"
วิโลนเล่าหน้าตาเฉยมาก ในขณะที่คนฟังเริ่มขมวดคิ้ว
"ก็รีบวิ่งไปบอกผู้ใหญ่นะ เหมือนพี่หนูกินยาล้างห้องน้ำมาก่อนแล้วด้วย แล้วก็ไปตายที่บึง"
หลังจบประโยค ได้ยินเสียงแคว่กๆ ของไม้กวาด เพียงอย่างเดียว
ฉันพูดไม่ออก
"หนูแปลกใจมากเลย ทำไมหนูต้องเห็นคนที่หนูรักตายต่อหน้าต่อตา หลายคนเลย"
"..." ฉันยังพูดไม่ออก
"อ่อ อีกอย่าง หนูรักพี่แนนนะ พี่อย่าตายนะ" วิโลนพูดติดขำ
อยากกลายร่างเป็นหินให้รู้แล้วรู้รอดจริงๆ!
"หนูไม่ได้รักใครง่ายๆ นะ หนูไม่ค่อยรักใครอ่ะ บอกเลย"
สุดท้าย ฉันเลยเข้าใจ
ว่าวิโลนเป็นเพียงเด็กที่กลัวความรัก
เพราะเมื่อรักใคร ก็ต้องสูญเสียไปตลอด
"..แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่วิโลนยังมีวัน วันก็รักวิโลนไง" ฉันคิดคำปลอบไม่ออก
"โอ๊ยย มันรักหนูเหรอ นี่หนูยังไม่รู้เลยว่ามันรักหนูจริงไหม" วิโลนทำตอบแบบลูกสาวกำนัน
"อะแฮ่ม .. นินทาผมเหรอ" เสียงวันลอยมาตามลม
"หลงตัวเอง ใครเขาพูดถึงมึง" วิโลนรีบตอบ
ทั้งคู่เหมือนภาพตามละครหลังข่าว ที่ต้องมีอาการพ่อแง่แม่งอน
เรื่องของทั้งคู่จะเป็นยังไง ขอเล่าคราวหน้าแล้วกัน
ใครที่อ่านจนถึงตอนนี้ ก็ขอให้ได้มีคนที่ตัวเองรัก และได้รับความรักตอบ
แบบที่ไม่ต้องเจอการสูญเสียแบบวิโลน - ผู้หญิงที่โดนสาป
การสูญเสีย
หลายคนมองว่าเป็นสิ่งเลวร้าย
วิโลนอาจจะโดนมองว่าเป็นคนที่ต้องคำสาป
แต่การสูญเสีย..ก็ทำให้คนเราเข้มแข็งขึ้น
ในวันที่เรายังมีใครข้างๆ เราอาจจะพึ่งพาเขามาก
จนกลายเป็นทำอะไรเองไม่เป็น
แต่เมื่อวันที่เขาจากไป และทำให้เราต้องเข้มแข็งเพื่อเรียนรู้ด้วยตัวเอง
แม่และพี่สาวของวิโลน
อาจจะเดินทางจากไป
เพื่อให้วิโลนเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง
และก้าวต่อไปอย่างระมัดระวังในเรื่องของหัวใจได้มากกว่าคนอื่น
ขอให้ทุกการสูญเสีย
และทุกคนที่สูญเสีย
ได้รับอะไรตอบแทน
หรรษาคิด หรรษาเขียน
วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557
สาส์นจากแพกาญฯ : ฉันเชื่อเสมอ เพราะเธอคือคู่ชีวิต
เคยเกิดคำถามไหม
ว่าการที่เราจะเลือกใครสักคนให้เข้ามาอยู่ข้างๆกันในชีวิต
มันควรต้องเลือกกันจากอะไร?
ต้องหน้าตาดี
ต้องมีฐานะ
ต้องบ้านรวย
ต้องทำงานเก่ง
ต้องขยัน
ต้องนิสัยดี
ต้องดูแลเราได้
ต้องเข้าใจกัน
ต้องอยู่ด้วยกันได้
ต้อง.. ต้อง..
ข้อแม้นับร้อยข้อ ผุดขึ้นมาในหัวสมองฉัน
กับการเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกัน
ซึ่งทำให้ตัวฉันเอง ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครทนนิสัยคนอย่างฉันได้
คือ.. เอาจริงๆคือ ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่กันไปได้จนแก่ ว่างั้นเถอะ!
"ทำไมถึงแต่งงานกับพี่จา" ฉันถามพี่โทนขึ้นในวันนึง
วันที่เรานั่งรอแขกข้างบนเข้ามา Check-in
"คนเราทุกคน มันต้องมีเนื้อคู่นะลูกพี่
พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกจา
แต่ผมเจอครั้งแรก ผมก็ชอบเลยนะ"
คือ ย้อนกลับไปประโยคที่คุยกันก่อนหน้านี้อีกนิด
พี่โทนเป็นพนักงาน (ขอเรียกว่าลูกน้องท่าจะเหมาะกว่า)
ที่ใส่ใจฉันแบบหาคนเทียบติดยากมาก
พี่โทนเห็นฉันเหนื่อยๆ และซึมๆ
"ลูกพี่ต้องมีคู่ละล่ะ เหมือนไก่ ถ้ามันมีคู่มันจะร่าเริง"
"ยาก ไม่รู้จะไปหาจากไหน หาให้หน่อยดิ" ฉันบอกพี่โทนไป
"ผมดูให้ลูกพี่อยู่ แต่ผมไม่รู้ลูกพี่จะชอบเขาไหม"
"เดี๋ยวนะ เราซึมเพราะเราเหนื่อยนะ ไม่เกี่ยวกับการโสด
เราไม่ใช่ไก่นะพี่โทน!!" ฉันเริ่มนึกได้
"วันนึงลูกพี่ก็จะเจอ คนที่ลูกพี่อยากอยู่ด้วย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ"
พี่โทนกล่าว
กลับมาที่การคุยเรื่องระหว่างพี่โทน กับ พี่จา
"แม่ผมกับแม่น้องจา รู้จักกัน แล้วผมก็ไม่ได้สนใจอะไร
เราเจอกันตั้งแต่เด็กแล้ว
ผมก็เข้ามาทำงานในเมืองไทย จนวันนึงผมโทรไปหาแม่น้องจา
แล้วน้องจารับ ผมเลยถามว่า ใช่น้องจาหรือเปล่า
เท่านั้นแหละ ผมเลยคุยยาวเลยวันนั้น!" พี่โทนเล่าแบบอมยิ้มเบาๆ
"แล้วผมก็ไปงานวัด วัดมอญตรงนี้แหละพี่ มันมีงาน
ตอนกำลังจะเวียนเทียนกัน ผมก็เจอน้องจาอีก
คือก่อนหน้านี้มันคุยกันนะ แต่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานแล้ว
มาเจอกันที่วัด เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรผมเลย
แต่พอผมเจอ ผมก็รู้สึกคุ้นๆ เลยเดินไปทักว่า น้องจาลูกป้าหรือเปล่า
จาก็บอก ใช่ๆ เราก็เลยทักทายกัน แล้ววันนั้น ผมกับจาก็เวียนเทียนด้วยกัน"
"โห่ อย่างกับในหนัง นี่ได้เป็นพระเอกเลยนะเรา"
ฉันแซว เมื่อเห็นหน้าพี่โทนที่ออกจะคล้ำ แต่เริ่มมีสีแดงระเรื่อ
"โห่ ลูกพี่ ไม่เล่าละ!!"
"เออ เล่ามา ใช้อำนาจการเป็นลูกพี่สั่งให้เล่า!"
พี่โทนเรียกให้เราเป็นลูกพี่ โดยยกตำแหน่งนี้ให้เรา ในที่แพที่นี่เพียงคนเดียว ช่างน่าปลื้มใจ
"แล้วผมกับจาก็ทำงาน เราทำกันคนละที่
ก็คุยโทรศัพท์กันทุกวันเพราะไม่ได้เจอกัน
จะขี่รถไปหากันก็ไกล
คุยกันมาเป็นปีแหละ ระหว่างนั้นเขาก็มีคนเข้ามา ผมก็มีคนเข้ามา
แต่สุดท้ายเราก็ยังเลือกที่จะคุยกันเองมากกว่า
ผมคุยกับเขานานสุดแล้ว
แล้วเขาก็ยังไม่ยอมคบกับผม จนวันนึงผมทนไม่ไหว เลยบอกไปว่า
เอาไง จะแต่งไม่แต่ง ไม่งั้นจะแต่งกับคนอื่นละนะ!
จาเลยตกลงแต่งงานกับผม"
"เห้ย มัดมือชกนี่หว่า"
"ลูกพี่! ตอนนั้นมันไม่ได้แล้ว จะเอาไง เลือกมาสักทาง ไม่อยากค้างคา
เราจะรักใคร มันต้องชัดเจนพี่"
"แล้วอะไรทำให้เลิกคุยกับคนอื่น แต่ไม่เลิกคุยกับคนนี้?"
ฉันถาม เพราะอยากรู้จริงๆ
พี่โทนเอง เป็นหนุ่มฮอตนะจะบอกให้!
"เพราะน้องจาเป็นผู้หญิงใจดี"
"ใจดี คือให้ขนมกินอ่ะนะ ฮ่า" ฉันยังแซวไม่เลิก
"ไม่ใช่อย่างงั้นสิลูกพี่ ใจดีหมายถึง จิตใจดี
เป็นคนคิดดี ไม่คิดจะทำร้ายใคร
ผมเลือกเขาที่เขาใจดี
เพราะเขาน่าจะใจดีกับลูกด้วย"
"แน่ใจว่าหมายถึงใจดีกับลูก ไม่ใช่ใจดีกับตัวเองเวลากลับดึกงี้"
"โอ้ย ลูกพี่นี่มัน..!!" พี่โทนทำท่าจะวิ่งเข้ามาเตะ
ว่าแล้ว รถบัสก็เลี้ยวเข้ามาพอดี
การโดนเตะ จึงถือว่ารอดตัวไป
สุดท้าย สิ่งที่ฉันเอากลับมาคิด
เราอาจจะต้องการคนใจดีสักคน
มาคอยประคับประคองชีวิตที่วุ่นวายกันไปหรือเปล่า?
สุดท้าย สิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
ชื่อเสียง เงินทอง หน้าตา หรืออะไรก็ตามแต่
ที่เราหลายคนเคยตั้งเอาไว้
อาจจะไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าคนข้างๆ เราไม่ใช่คนที่สามารถทำให้เราสบายใจ
ในวันที่เราต้องทุกข์ใจที่สุด
ชีวิตเรา .. คงต้องเดินทางกันอีกไกล
ก็ไม่รู้ว่าทางไกลนั้น ความจริงแล้วมันจะยาว หรือสั้น
แต่คงดี ถ้าเรามีคนใจดี คอยเดินไปด้วยกัน
อย่างที่บอก ชีวิตเราต้องเจออะไรอีกมาก
ขอให้เราได้เจอคนที่จะโตไปพร้อมกัน
เรียนรู้ที่จะผิด หรือ ถูก
เรียนรู้ที่จะสุข หรือ เศร้า
เรียนรู้ที่จะสร้าง หรือ พัง
คนๆ นั้น ..
..ขอให้เราทุกคนได้เจอในสักวัน
ว่าการที่เราจะเลือกใครสักคนให้เข้ามาอยู่ข้างๆกันในชีวิต
มันควรต้องเลือกกันจากอะไร?
ต้องหน้าตาดี
ต้องมีฐานะ
ต้องบ้านรวย
ต้องทำงานเก่ง
ต้องขยัน
ต้องนิสัยดี
ต้องดูแลเราได้
ต้องเข้าใจกัน
ต้องอยู่ด้วยกันได้
ต้อง.. ต้อง..
ข้อแม้นับร้อยข้อ ผุดขึ้นมาในหัวสมองฉัน
กับการเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกัน
ซึ่งทำให้ตัวฉันเอง ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครทนนิสัยคนอย่างฉันได้
คือ.. เอาจริงๆคือ ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่กันไปได้จนแก่ ว่างั้นเถอะ!
"ทำไมถึงแต่งงานกับพี่จา" ฉันถามพี่โทนขึ้นในวันนึง
วันที่เรานั่งรอแขกข้างบนเข้ามา Check-in
"คนเราทุกคน มันต้องมีเนื้อคู่นะลูกพี่
พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกจา
แต่ผมเจอครั้งแรก ผมก็ชอบเลยนะ"
คือ ย้อนกลับไปประโยคที่คุยกันก่อนหน้านี้อีกนิด
พี่โทนเป็นพนักงาน (ขอเรียกว่าลูกน้องท่าจะเหมาะกว่า)
ที่ใส่ใจฉันแบบหาคนเทียบติดยากมาก
พี่โทนเห็นฉันเหนื่อยๆ และซึมๆ
"ลูกพี่ต้องมีคู่ละล่ะ เหมือนไก่ ถ้ามันมีคู่มันจะร่าเริง"
"ยาก ไม่รู้จะไปหาจากไหน หาให้หน่อยดิ" ฉันบอกพี่โทนไป
"ผมดูให้ลูกพี่อยู่ แต่ผมไม่รู้ลูกพี่จะชอบเขาไหม"
"เดี๋ยวนะ เราซึมเพราะเราเหนื่อยนะ ไม่เกี่ยวกับการโสด
เราไม่ใช่ไก่นะพี่โทน!!" ฉันเริ่มนึกได้
"วันนึงลูกพี่ก็จะเจอ คนที่ลูกพี่อยากอยู่ด้วย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ"
พี่โทนกล่าว
กลับมาที่การคุยเรื่องระหว่างพี่โทน กับ พี่จา
"แม่ผมกับแม่น้องจา รู้จักกัน แล้วผมก็ไม่ได้สนใจอะไร
เราเจอกันตั้งแต่เด็กแล้ว
ผมก็เข้ามาทำงานในเมืองไทย จนวันนึงผมโทรไปหาแม่น้องจา
แล้วน้องจารับ ผมเลยถามว่า ใช่น้องจาหรือเปล่า
เท่านั้นแหละ ผมเลยคุยยาวเลยวันนั้น!" พี่โทนเล่าแบบอมยิ้มเบาๆ
"แล้วผมก็ไปงานวัด วัดมอญตรงนี้แหละพี่ มันมีงาน
ตอนกำลังจะเวียนเทียนกัน ผมก็เจอน้องจาอีก
คือก่อนหน้านี้มันคุยกันนะ แต่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานแล้ว
มาเจอกันที่วัด เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรผมเลย
แต่พอผมเจอ ผมก็รู้สึกคุ้นๆ เลยเดินไปทักว่า น้องจาลูกป้าหรือเปล่า
จาก็บอก ใช่ๆ เราก็เลยทักทายกัน แล้ววันนั้น ผมกับจาก็เวียนเทียนด้วยกัน"
"โห่ อย่างกับในหนัง นี่ได้เป็นพระเอกเลยนะเรา"
ฉันแซว เมื่อเห็นหน้าพี่โทนที่ออกจะคล้ำ แต่เริ่มมีสีแดงระเรื่อ
"โห่ ลูกพี่ ไม่เล่าละ!!"
"เออ เล่ามา ใช้อำนาจการเป็นลูกพี่สั่งให้เล่า!"
พี่โทนเรียกให้เราเป็นลูกพี่ โดยยกตำแหน่งนี้ให้เรา ในที่แพที่นี่เพียงคนเดียว ช่างน่าปลื้มใจ
"แล้วผมกับจาก็ทำงาน เราทำกันคนละที่
ก็คุยโทรศัพท์กันทุกวันเพราะไม่ได้เจอกัน
จะขี่รถไปหากันก็ไกล
คุยกันมาเป็นปีแหละ ระหว่างนั้นเขาก็มีคนเข้ามา ผมก็มีคนเข้ามา
แต่สุดท้ายเราก็ยังเลือกที่จะคุยกันเองมากกว่า
ผมคุยกับเขานานสุดแล้ว
แล้วเขาก็ยังไม่ยอมคบกับผม จนวันนึงผมทนไม่ไหว เลยบอกไปว่า
เอาไง จะแต่งไม่แต่ง ไม่งั้นจะแต่งกับคนอื่นละนะ!
จาเลยตกลงแต่งงานกับผม"
"เห้ย มัดมือชกนี่หว่า"
"ลูกพี่! ตอนนั้นมันไม่ได้แล้ว จะเอาไง เลือกมาสักทาง ไม่อยากค้างคา
เราจะรักใคร มันต้องชัดเจนพี่"
"แล้วอะไรทำให้เลิกคุยกับคนอื่น แต่ไม่เลิกคุยกับคนนี้?"
ฉันถาม เพราะอยากรู้จริงๆ
พี่โทนเอง เป็นหนุ่มฮอตนะจะบอกให้!
"เพราะน้องจาเป็นผู้หญิงใจดี"
"ใจดี คือให้ขนมกินอ่ะนะ ฮ่า" ฉันยังแซวไม่เลิก
"ไม่ใช่อย่างงั้นสิลูกพี่ ใจดีหมายถึง จิตใจดี
เป็นคนคิดดี ไม่คิดจะทำร้ายใคร
ผมเลือกเขาที่เขาใจดี
เพราะเขาน่าจะใจดีกับลูกด้วย"
"แน่ใจว่าหมายถึงใจดีกับลูก ไม่ใช่ใจดีกับตัวเองเวลากลับดึกงี้"
"โอ้ย ลูกพี่นี่มัน..!!" พี่โทนทำท่าจะวิ่งเข้ามาเตะ
ว่าแล้ว รถบัสก็เลี้ยวเข้ามาพอดี
การโดนเตะ จึงถือว่ารอดตัวไป
สุดท้าย สิ่งที่ฉันเอากลับมาคิด
เราอาจจะต้องการคนใจดีสักคน
มาคอยประคับประคองชีวิตที่วุ่นวายกันไปหรือเปล่า?
สุดท้าย สิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
ชื่อเสียง เงินทอง หน้าตา หรืออะไรก็ตามแต่
ที่เราหลายคนเคยตั้งเอาไว้
อาจจะไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าคนข้างๆ เราไม่ใช่คนที่สามารถทำให้เราสบายใจ
ในวันที่เราต้องทุกข์ใจที่สุด
ชีวิตเรา .. คงต้องเดินทางกันอีกไกล
ก็ไม่รู้ว่าทางไกลนั้น ความจริงแล้วมันจะยาว หรือสั้น
แต่คงดี ถ้าเรามีคนใจดี คอยเดินไปด้วยกัน
อย่างที่บอก ชีวิตเราต้องเจออะไรอีกมาก
ขอให้เราได้เจอคนที่จะโตไปพร้อมกัน
เรียนรู้ที่จะผิด หรือ ถูก
เรียนรู้ที่จะสุข หรือ เศร้า
เรียนรู้ที่จะสร้าง หรือ พัง
คนๆ นั้น ..
..ขอให้เราทุกคนได้เจอในสักวัน
แด่พี่โทน กับความรักดี ดี : )
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557
สาส์นจากแพกาญฯ : โลกใบเดียวกัน ที่คนแบ่งออกเป็นหลายใบ
มันเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรที่เล็กมากๆ
มันเกิดจาก เสียง "ตื้อดึ่ง" ของ Line
มันคือเสียง Line ของพนักงานคนหนึ่ง ที่ดังมาในช่วงเวลาพักเที่ยง
พ่อฉันเริ่มพูด ในขณะที่ฉันเองก็กำลังระรัวนิ้วพิมพ์ไลน์
"นี่มันเป็นไวรัส ไอ้พวกเกมออนไลน์ ทำให้ไม่รู้จักทำงานทำการ เล่นกันตลอดเวลา"
ฉันเหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้อย
..แล้วเล่นต่อ
"คนพวกนี้นะ เราต้องเหยียบให้มันอยู่ในที่ของมัน อย่าให้มันเริ่มคิดจะทำอะไร
เพราะมันคิดไม่เป็น มันโง่ มัน..."
แล้วพ่อก็เริ่มบ่นอะไรบางอย่าง ที่ขอละไว้ในการพิมพ์
เพราะขนาดฟัง ฉันยังอยากจะกดปุ่ม mute ให้ไม่ได้ยินเสียงพ่อเลย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้ฉันคิดต่อไป
เราควรจะทำอย่างไร เพื่อจะจัดการลูกน้อง(หรือลูกทีม)
ให้ทำงานกับเราอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ในโลกที่ทุกคนเสพติด Social Media?
และอีกประเด็นที่ฉันกังขาขึ้นมาเบาๆ
อะไรทำให้คนเรา กล้าจะแบ่งชนชั้นกับคนอื่น
คนที่มีโอกาสน้อยกว่าเรา?
อยากรู้ว่า ถ้าพ่อต้องไปนั่งคุยกับ Bill Gates หรือคนดังระดับโลกสักคน
พ่อจะทำยังไง?
มันน่าแปลก ที่วันนึง เมื่อเราโตอยู่ในจุดที่คนเริ่มมองเห็น
เรากลับเลือกที่จะไม่มองคนอื่นในระดับเดียวกับเรา
แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนบนเวที จะมองเห็นคนล่างเวทีได้ไม่ชัด
แต่อย่างน้อย ถ้าเราต้องการจะสื่อสารกับคนข้างล่าง
เราอาจจะต้องพยายามมากกว่าเดิมหรือเปล่า?
ฉันอาจจะเป็นเด็ก
ฉันจึงคิดอะไรแบบเด็กๆ
และหลายครั้ง ออกแนวจะเป็นเด็กโง่ด้วยซ้ำ
ฉันรู้สึกว่าทุกคน ควรมีความสุขในการทำงาน
งานที่ทำ ถ้าทำเพื่อให้ได้เงินอย่างเดียว
ลาออกเหอะ
เงิน ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ เป็นเร่ืองจริง
แต่เงิน ไม่สามารถทำให้เราตอบโจทย์ชีวิตได้ในหลายๆ เรื่อง
อย่างน้อย ก็เช่นเรื่องการที่เราภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า?
ถ้าเราทุกคน ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ
สิ่งที่เราทำ อาจจะมีประโยชน์ต่อคนเป็นร้อย
แต่กลับไม่มีความหมายต่อคนที่สำคัญที่สุด
นั่นคือ "ตัวเรา" เอง
ทุกวันนี้ ฉันทำงานที่ฉันไม่ได้รัก
แต่ฉันรู้ว่าฉันทำมันได้
งานที่ฉันทำ อาจจะไม่ใช่ครีเอทีฟ นั่งในห้องแอร์ เหมือนเมื่อก่อน
มันเป็นแค่การเจอกับชาวบ้าน ทำความสะอาด เก็บกวาดใบไม้
แต่ฉันก็เลือกจะมองมันในมุมที่ว่า
"ถ้าไม่มีใครทำ คนที่มาเที่ยวจะต้องเจอกับที่สกปรกนะ นี่มันเป็นงานระดับประเทศนะ"
"ถ้าไม่กวาดใบไม้ มันจะเหมือนที่รกร้างอาจมีงู เราต้องสร้างความปลอดภัย"
"ถ้าไม่รดน้ำต้นไม้ ต้นไม้จะตาย เรากำลังสร้างออกซิเจนให้โลก"
ฯลฯ
งานง่ายๆ ที่ทำให้ฉันมองโลกเปลี่ยนไป
งานที่ทำให้ฉันมองว่า ทุกคนมีความหมายในทุกตำแหน่ง
ตัดกลับมาอีกครั้ง
เรื่องคุณค่าของงานที่ทำ
ฉันเห็นคุณค่าของงานทุกงานที่ฉันทำ
แต่ฉันจะสนุกกับมันถึงเมื่อไหร่?
ไม่มีใครรู้หรอก
การอยู่ที่นี่ ฉันมีเป้าหมายของฉัน
ถ้าวันนึง มันบรรลุแล้ว
ฉันก็ไปเหมือนกัน
เพราะ..
ไม่มีใครควรต้องอดทนทำ
ในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับตัวเอง
ตัดภาพกลับมาอีกที
พ่อฉันยังคงพูดเรื่องน่าเบื่อๆ เหมือนฉันดูละคร ลูกทาส อยู่
ยุคสมัย เปลี่ยนไปประมาณชาติเศษแล้ว
ไม่มีใคร ต้องทำงานให้ใครแบบขี้ข้าอีกต่อไป
โลกของนายจ้างต้องหัดมีความคิดแบบ
"เอาใจเขามาใส่ใจเรา" เสียบ้าง
หมดเวลาเป็นเจ้าเหนือชีวิตใคร
ความจำเป็นของทุกคน มีความสำคัญเท่ากัน
คนจนจะไปส่งลูก
คนรวยจะไปส่งลูก
เนื้อหาสาระ ก็สำคัญเหมือนกัน
ตลกดี ที่เราอยู่ในโลกที่คอยบอก
อยากสร้างความปรองดอง อยากให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ
แต่กลับเลือกจะแบ่งชนชั้นกันทุกทาง
หมายเหตุ
: เรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการจะกล่าวถึงบุพการีในทางที่ไม่ควร แค่รู้สึกว่าคนเราทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกทางความคิดเห็น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เอาหมายเหตุใหม่ดีกว่า เผื่อคนจะมองว่าเรานิสัยไม่ดี
: เรื่องข้างต้น เป็นเร่ื่องราวสมมติ ตัวละครทุกตัวที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการยกตัวอย่าง หากมีการร้อนตัว หรือด้วยเหตุอันใด ขอบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับดิฉันโดยสมบูรณ์แบบ
สวัสดี
มันเกิดจาก เสียง "ตื้อดึ่ง" ของ Line
มันคือเสียง Line ของพนักงานคนหนึ่ง ที่ดังมาในช่วงเวลาพักเที่ยง
พ่อฉันเริ่มพูด ในขณะที่ฉันเองก็กำลังระรัวนิ้วพิมพ์ไลน์
"นี่มันเป็นไวรัส ไอ้พวกเกมออนไลน์ ทำให้ไม่รู้จักทำงานทำการ เล่นกันตลอดเวลา"
ฉันเหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้อย
..แล้วเล่นต่อ
"คนพวกนี้นะ เราต้องเหยียบให้มันอยู่ในที่ของมัน อย่าให้มันเริ่มคิดจะทำอะไร
เพราะมันคิดไม่เป็น มันโง่ มัน..."
แล้วพ่อก็เริ่มบ่นอะไรบางอย่าง ที่ขอละไว้ในการพิมพ์
เพราะขนาดฟัง ฉันยังอยากจะกดปุ่ม mute ให้ไม่ได้ยินเสียงพ่อเลย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้ฉันคิดต่อไป
เราควรจะทำอย่างไร เพื่อจะจัดการลูกน้อง(หรือลูกทีม)
ให้ทำงานกับเราอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ในโลกที่ทุกคนเสพติด Social Media?
และอีกประเด็นที่ฉันกังขาขึ้นมาเบาๆ
อะไรทำให้คนเรา กล้าจะแบ่งชนชั้นกับคนอื่น
คนที่มีโอกาสน้อยกว่าเรา?
อยากรู้ว่า ถ้าพ่อต้องไปนั่งคุยกับ Bill Gates หรือคนดังระดับโลกสักคน
พ่อจะทำยังไง?
มันน่าแปลก ที่วันนึง เมื่อเราโตอยู่ในจุดที่คนเริ่มมองเห็น
เรากลับเลือกที่จะไม่มองคนอื่นในระดับเดียวกับเรา
แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนบนเวที จะมองเห็นคนล่างเวทีได้ไม่ชัด
แต่อย่างน้อย ถ้าเราต้องการจะสื่อสารกับคนข้างล่าง
เราอาจจะต้องพยายามมากกว่าเดิมหรือเปล่า?
ฉันอาจจะเป็นเด็ก
ฉันจึงคิดอะไรแบบเด็กๆ
และหลายครั้ง ออกแนวจะเป็นเด็กโง่ด้วยซ้ำ
ฉันรู้สึกว่าทุกคน ควรมีความสุขในการทำงาน
งานที่ทำ ถ้าทำเพื่อให้ได้เงินอย่างเดียว
ลาออกเหอะ
เงิน ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ เป็นเร่ืองจริง
แต่เงิน ไม่สามารถทำให้เราตอบโจทย์ชีวิตได้ในหลายๆ เรื่อง
อย่างน้อย ก็เช่นเรื่องการที่เราภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า?
ถ้าเราทุกคน ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ
สิ่งที่เราทำ อาจจะมีประโยชน์ต่อคนเป็นร้อย
แต่กลับไม่มีความหมายต่อคนที่สำคัญที่สุด
นั่นคือ "ตัวเรา" เอง
ทุกวันนี้ ฉันทำงานที่ฉันไม่ได้รัก
แต่ฉันรู้ว่าฉันทำมันได้
งานที่ฉันทำ อาจจะไม่ใช่ครีเอทีฟ นั่งในห้องแอร์ เหมือนเมื่อก่อน
มันเป็นแค่การเจอกับชาวบ้าน ทำความสะอาด เก็บกวาดใบไม้
แต่ฉันก็เลือกจะมองมันในมุมที่ว่า
"ถ้าไม่มีใครทำ คนที่มาเที่ยวจะต้องเจอกับที่สกปรกนะ นี่มันเป็นงานระดับประเทศนะ"
"ถ้าไม่กวาดใบไม้ มันจะเหมือนที่รกร้างอาจมีงู เราต้องสร้างความปลอดภัย"
"ถ้าไม่รดน้ำต้นไม้ ต้นไม้จะตาย เรากำลังสร้างออกซิเจนให้โลก"
ฯลฯ
งานง่ายๆ ที่ทำให้ฉันมองโลกเปลี่ยนไป
งานที่ทำให้ฉันมองว่า ทุกคนมีความหมายในทุกตำแหน่ง
ตัดกลับมาอีกครั้ง
เรื่องคุณค่าของงานที่ทำ
ฉันเห็นคุณค่าของงานทุกงานที่ฉันทำ
แต่ฉันจะสนุกกับมันถึงเมื่อไหร่?
ไม่มีใครรู้หรอก
การอยู่ที่นี่ ฉันมีเป้าหมายของฉัน
ถ้าวันนึง มันบรรลุแล้ว
ฉันก็ไปเหมือนกัน
เพราะ..
ไม่มีใครควรต้องอดทนทำ
ในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับตัวเอง
ตัดภาพกลับมาอีกที
พ่อฉันยังคงพูดเรื่องน่าเบื่อๆ เหมือนฉันดูละคร ลูกทาส อยู่
ยุคสมัย เปลี่ยนไปประมาณชาติเศษแล้ว
ไม่มีใคร ต้องทำงานให้ใครแบบขี้ข้าอีกต่อไป
โลกของนายจ้างต้องหัดมีความคิดแบบ
"เอาใจเขามาใส่ใจเรา" เสียบ้าง
หมดเวลาเป็นเจ้าเหนือชีวิตใคร
ความจำเป็นของทุกคน มีความสำคัญเท่ากัน
คนจนจะไปส่งลูก
คนรวยจะไปส่งลูก
เนื้อหาสาระ ก็สำคัญเหมือนกัน
ตลกดี ที่เราอยู่ในโลกที่คอยบอก
อยากสร้างความปรองดอง อยากให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ
แต่กลับเลือกจะแบ่งชนชั้นกันทุกทาง
หมายเหตุ
: เรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการจะกล่าวถึงบุพการีในทางที่ไม่ควร แค่รู้สึกว่าคนเราทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกทางความคิดเห็น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เอาหมายเหตุใหม่ดีกว่า เผื่อคนจะมองว่าเรานิสัยไม่ดี
: เรื่องข้างต้น เป็นเร่ื่องราวสมมติ ตัวละครทุกตัวที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการยกตัวอย่าง หากมีการร้อนตัว หรือด้วยเหตุอันใด ขอบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับดิฉันโดยสมบูรณ์แบบ
สวัสดี
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557
สาสน์จากแพกาญฯ : การร่ำลาที่ไม่มีคำว่า "บ๊ายบาย"
อากาศร้อนเริ่มวนมาในชีวิต
เสื้อกันหนาวที่เคยหวงแหนนักหนา
ตอนนี้อยากเอาไปปาหัวหมาทิ้ง
นี่คือสัญญาณของ Low Season
ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวจะสงบเสงี่ยม
ทัวร์ที่เคยวนเวียนมาวันละหลายบัส
จะเริ่มถอยมาเหลือน้อยลง
หลายคนบอกมันเป็นช่วงเวลาตกงาน
หลายคนบอกมันเป็นช่วงเวลาของการท่องเที่ยว
สำหรับฉัน มันคงเป็นช่วงเวลาที่ฉันจะได้เตรียมตัวสอบ IELTS สักที
และในทุกการเปลี่ยนแปลง
ก็มีการเปลี่ยนแปลง
พี่เก่ง ลาออก
และกลับไปสู่ที่ที่เขาจากมา
"เชียงใหม่"
เรื่องของการจากไปของพี่เก่ง
เป็นเรื่องที่ฉันได้ยินมานาน จนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เลื่อนลอย
ใครต่อใครมักบ่นเรื่องจะลาออกจากงาน
ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของพี่เก่งมากนัก
จนกระทั่งเหตุผลต่างๆ เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
"ผมว่าร่างกายผมเริ่มไม่ไหวแล้ว"
"ลูกชายผมมันไม่อยากเรียนต่อ มันบอกมันอยากทำงาน"
"บ้านผมไม่มีใครช่วยงานเลย มีแต่คนแก่ทั้งนั้นด้วย"
ฯลฯ
ยังไม่รวมถึงเรื่องกดดันจากป้า และลุง และใครอีกมากมาย
มันเป็นมุมมองความกดดันจากมุมต่าง
คนจ่ายเงิน รู้สึกอยากได้การทำงานที่คุ้มค่า
คนทำงาน รู้สึกอยากได้เงินที่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป
"ผมจะกลับวันที่ 9 มีนานี้แล้ว ที่บ้านผมจะขับรถมารับ"
นี่คือประโยคที่ฉันฟังแล้วยืนนิ่งไปสักพัก
"วันนั้นเราไม่อยู่ด้วยดิ กลับบ้าน" ฉันบอก
โดยที่รู้ว่าคนฟังก็คงไม่สามารถจะรอฉันกลับมา
"โหย อดปาร์ตี้อำลาเลย" พี่เก่งแค่นหัวเราะ
บอกตรงๆ ฉันพูดไม่ถูกว่าฉันดีใจ หรือเสียใจ
ในวันที่เพื่อนคนแรกของฉันจะจากสถานที่นี้ไป
1 วัน ก่อนฉันจะกลับกรุงเทพฯ เป็นวันที่ทั้งป้าและลุงเดินทางไปเชียงใหม่
ไม่เกี่ยวกับการกลับบ้านของพี่เก่ง
ทั้งคู่แค่ไปเที่ยว
วันนั้น พี่เก่งไลน์มา
"พี่น้อง ไปเปิดหูเปิดตากันดีกว่า"
พอฉันเปิดอ่าน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เปิดมาเป็นพี่เก่ง
"ไปๆ ไปกินลมกันสักหน่อยดีกว่า"
"จะไปกันยังไงล่ะ กุญแจรถก็ไม่มี" ฉันถาม
"เดี๋ยวยืมรถใครไปก็ได้ เยอะแยะ"
เราทั้งคู่จึงยืมรถน้องชายพี่โทนไป
มอเตอร์ไซด์เบรคไม่ดีคันนั้น
ขับพาเราออกไปตามเส้นทางที่ฉันไม่เคยไป
"เวลาขี่มาทางนี้ มันออกถนนใหญ่ง่ายกว่า
จะได้ไม่ต้องไปอ้อม" พี่เก่งพาฉันมาเพื่อบอกเส้นทาง
พี่เก่งขี่มอไซด์ช้ามาก
"พี่เก่ง ขี่มอไซค์เก่งประเนี่ย?!"
"โอ้ย ขึ้นอยู่กับว่า เราวัดความเก่งกันที่อะไรมั้งครับ"
แล้วเราทั้งคู่ก็ไปร้านกาแฟประจำ ตรงไทรโยคใหญ่
นั่งกินกาแฟ ตอนเกือบเที่ยง
ลมร้อนพัดมาตีหน้า แต่เมื่อนั่งในที่ร่ม
มันก็ราวกับเป็นลมเย็น
บทสนทนาต่างๆ พรั่งพรูออกมาเช่นเดิม
เราทั้งคู่ ไม่พูดถึงเรื่องการกลับบ้านของเขา
รวมถึงไม่พูดด้วยว่า การออกมาครั้งนี้
..คงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพี่เก่งกลับบ้าน
คืนนั้น ฉันเขียนโปสการ์ดถึงพี่เก่ง
แนบใส่หนังสือ "ประโยคย้อนแสง" ของประภาส
และฝากให้พี่เก่งในวันที่เขากลับบ้าน
แล้วตัวฉันก็เดินทางกลับกทม.
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลก
บางการร่ำลา
ก็ไม่สมควรมีคำลา
บางทีเราอาจจะเศร้าเพราะโลกนี้มีคำว่า "บ๊ายบาย"
สุดท้าย วันที่พี่เก่งออกเดินทาง
ฉันไลน์มาหาเขาจากกทม. เพื่อถามเขาว่าออกเดินทางหรือยัง
รวมถึงได้ของที่ฉันฝากไว้ไหม?
"ได้แล้วครับ กำลังอ่านอยู่เลย"
"ผมเชื่อว่า เราต้องได้เจอกันอีก"
มิตรภาพมันก็แบบนี้แหละ
อาจจะต้องจากกันไป เพื่อแยกกันไปเติบโต
แต่ก็รู้ว่า ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน
ฉันยิ้มเมื่ออ่าน
เพราะประโยคสุดท้ายที่ฉันเขียนในโปสการ์ดคือ
"see you next station : Chiang Mai!!"
การที่คนเราได้เจอกัน
ครั้งแรก เพราะเราสมควรจะเจอกัน
จากนั้น เพราะเราอยากเจอกัน
..แล้วเจอกันนะทุกคน!
เสื้อกันหนาวที่เคยหวงแหนนักหนา
ตอนนี้อยากเอาไปปาหัวหมาทิ้ง
นี่คือสัญญาณของ Low Season
ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวจะสงบเสงี่ยม
ทัวร์ที่เคยวนเวียนมาวันละหลายบัส
จะเริ่มถอยมาเหลือน้อยลง
หลายคนบอกมันเป็นช่วงเวลาตกงาน
หลายคนบอกมันเป็นช่วงเวลาของการท่องเที่ยว
สำหรับฉัน มันคงเป็นช่วงเวลาที่ฉันจะได้เตรียมตัวสอบ IELTS สักที
และในทุกการเปลี่ยนแปลง
ก็มีการเปลี่ยนแปลง
พี่เก่ง ลาออก
และกลับไปสู่ที่ที่เขาจากมา
"เชียงใหม่"
เรื่องของการจากไปของพี่เก่ง
เป็นเรื่องที่ฉันได้ยินมานาน จนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เลื่อนลอย
ใครต่อใครมักบ่นเรื่องจะลาออกจากงาน
ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของพี่เก่งมากนัก
จนกระทั่งเหตุผลต่างๆ เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
"ผมว่าร่างกายผมเริ่มไม่ไหวแล้ว"
"ลูกชายผมมันไม่อยากเรียนต่อ มันบอกมันอยากทำงาน"
"บ้านผมไม่มีใครช่วยงานเลย มีแต่คนแก่ทั้งนั้นด้วย"
ฯลฯ
ยังไม่รวมถึงเรื่องกดดันจากป้า และลุง และใครอีกมากมาย
มันเป็นมุมมองความกดดันจากมุมต่าง
คนจ่ายเงิน รู้สึกอยากได้การทำงานที่คุ้มค่า
คนทำงาน รู้สึกอยากได้เงินที่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป
"ผมจะกลับวันที่ 9 มีนานี้แล้ว ที่บ้านผมจะขับรถมารับ"
นี่คือประโยคที่ฉันฟังแล้วยืนนิ่งไปสักพัก
"วันนั้นเราไม่อยู่ด้วยดิ กลับบ้าน" ฉันบอก
โดยที่รู้ว่าคนฟังก็คงไม่สามารถจะรอฉันกลับมา
"โหย อดปาร์ตี้อำลาเลย" พี่เก่งแค่นหัวเราะ
บอกตรงๆ ฉันพูดไม่ถูกว่าฉันดีใจ หรือเสียใจ
ในวันที่เพื่อนคนแรกของฉันจะจากสถานที่นี้ไป
1 วัน ก่อนฉันจะกลับกรุงเทพฯ เป็นวันที่ทั้งป้าและลุงเดินทางไปเชียงใหม่
ไม่เกี่ยวกับการกลับบ้านของพี่เก่ง
ทั้งคู่แค่ไปเที่ยว
วันนั้น พี่เก่งไลน์มา
"พี่น้อง ไปเปิดหูเปิดตากันดีกว่า"
พอฉันเปิดอ่าน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เปิดมาเป็นพี่เก่ง
"ไปๆ ไปกินลมกันสักหน่อยดีกว่า"
"จะไปกันยังไงล่ะ กุญแจรถก็ไม่มี" ฉันถาม
"เดี๋ยวยืมรถใครไปก็ได้ เยอะแยะ"
เราทั้งคู่จึงยืมรถน้องชายพี่โทนไป
มอเตอร์ไซด์เบรคไม่ดีคันนั้น
ขับพาเราออกไปตามเส้นทางที่ฉันไม่เคยไป
"เวลาขี่มาทางนี้ มันออกถนนใหญ่ง่ายกว่า
จะได้ไม่ต้องไปอ้อม" พี่เก่งพาฉันมาเพื่อบอกเส้นทาง
พี่เก่งขี่มอไซด์ช้ามาก
"พี่เก่ง ขี่มอไซค์เก่งประเนี่ย?!"
"โอ้ย ขึ้นอยู่กับว่า เราวัดความเก่งกันที่อะไรมั้งครับ"
แล้วเราทั้งคู่ก็ไปร้านกาแฟประจำ ตรงไทรโยคใหญ่
นั่งกินกาแฟ ตอนเกือบเที่ยง
ลมร้อนพัดมาตีหน้า แต่เมื่อนั่งในที่ร่ม
มันก็ราวกับเป็นลมเย็น
บทสนทนาต่างๆ พรั่งพรูออกมาเช่นเดิม
เราทั้งคู่ ไม่พูดถึงเรื่องการกลับบ้านของเขา
รวมถึงไม่พูดด้วยว่า การออกมาครั้งนี้
..คงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพี่เก่งกลับบ้าน
คืนนั้น ฉันเขียนโปสการ์ดถึงพี่เก่ง
แนบใส่หนังสือ "ประโยคย้อนแสง" ของประภาส
และฝากให้พี่เก่งในวันที่เขากลับบ้าน
แล้วตัวฉันก็เดินทางกลับกทม.
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลก
บางการร่ำลา
ก็ไม่สมควรมีคำลา
บางทีเราอาจจะเศร้าเพราะโลกนี้มีคำว่า "บ๊ายบาย"
สุดท้าย วันที่พี่เก่งออกเดินทาง
ฉันไลน์มาหาเขาจากกทม. เพื่อถามเขาว่าออกเดินทางหรือยัง
รวมถึงได้ของที่ฉันฝากไว้ไหม?
"ได้แล้วครับ กำลังอ่านอยู่เลย"
"ผมเชื่อว่า เราต้องได้เจอกันอีก"
มิตรภาพมันก็แบบนี้แหละ
อาจจะต้องจากกันไป เพื่อแยกกันไปเติบโต
แต่ก็รู้ว่า ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน
ฉันยิ้มเมื่ออ่าน
เพราะประโยคสุดท้ายที่ฉันเขียนในโปสการ์ดคือ
"see you next station : Chiang Mai!!"
การที่คนเราได้เจอกัน
ครั้งแรก เพราะเราสมควรจะเจอกัน
จากนั้น เพราะเราอยากเจอกัน
..แล้วเจอกันนะทุกคน!
วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
สาส์นจากแพกาญฯ : การตัดสินใจและคำพิพากษา
มีเรื่องราวความรักแบบความลับจะมาบอก
คือจริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้มันถือเป็นความลับมาก
ลับจนเราไม่กล้าจะเอามาเขียนใส่พื้นที่ตรงนี้
เลยได้แต่จดใส่ไดอารี่ตัวเองเบาๆ
เชอรี่ กับ พี่เก่ง
"เป็นแฟนกัน!!"
โดยที่ทั้งคู่ แอบคบหากันมาสักพัก
สาเหตุการแอบก็คือ
๑. เชอรี่มีสามีแล้ว แม้เธอจะไม่ได้รักเขา แต่เขาก็เป็นสามีตามประเทณีของเธอ
๒. ญาติเชอรี่ไม่มีใครชอบพี่เก่งเลย เพราะพี่เก่งแก่กว่ามากๆ แถมกินเหล้า สูบบุหรี่ แล้วยังสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์อีก
เอาเป็นว่า เรื่องนี้ก็นับเป็นเรื่องต่างคนต่างมุมมองมากๆ
คนนึง เป็นสาวชาวพม่า ทำงานคล่องแคล่ว ขยันเกินใคร
แต่ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นเพียงแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีการศึกษา
คนนึง เป็นผู้ชายติดส์แตก ความสามารถล้นเหลือ ส่วนจะใช้หรือไม่ก็แล้วแต่อารมณ์
แต่ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นเพียงผู้ชายตัวเล็ก เรี่ยวแรงไม่มี แถมขี้เหล้าเมายา ขี้เกียจอีกต่างหาก
เรื่องดราม่าจึงเกิดขึ้น
จากความรักที่ดูเหมือนเรื่องในนิยาย
จึงกลายเป็นละครน้ำเน่าที่ใครหลายคนไม่อยากดู
ทุกฝ่าย กดดัน ทุกคน
ช่วงที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงที่ปวดหัวมากๆ
เพราะทุกคนพยายามพูดนั่นนี่กับฉัน
ผู้ซึ่ง "ไม่พูด" อะไรกับเรื่องนี้
"มันรู้อยู่แล้วว่าเขามีผัว มันยังกล้ายุ่ง"
"ทั้งสองคนเขาไม่เหมาะกันเลย อย่างเก่งควรจะได้ผู้หญิงเก่งๆ เพราะตัวมันขี้เกียจ"
"มันโกหกว่าผัวมาขอเลิกมัน ที่จริงมันต่างหากบอกเลิกผัวมัน"
"ถ้าเชอรี่ได้เก่งไปนะ ถือเป็นกรรมของมันแหละ อย่างเชอรี่ต้องได้คนช่วยกันทำมาหากิน"
"อะไรนะ จะย้ายไปเชียงใหม่ด้วยกัน เห๊อะ! อยู่ไม่ได้หรอก"
"นี่มันได้เสียกันหรือยัง?"
"รัก รักบ้าบออะไร ไม่มีศีลธรรม"
ระหว่างที่เกิดเรื่องราว
ฉันคิดถึงเรื่อง "คำพิพากษา" ของ ชาต กอบจิตติ
"ฟักได้ถูกพิพากษา ไปแล้วจากขี้ปากและการกระทำของผู้คนเหล่านั้น"
หลายครั้งในชีวิต
ฉันแอบถามตัวเองเบาๆ
"เรามีสิทธิ์ตัดสินใครด้วยเหรอ?"
คือจริงๆแล้ว ก่อนหน้านี้มันถือเป็นความลับมาก
ลับจนเราไม่กล้าจะเอามาเขียนใส่พื้นที่ตรงนี้
เลยได้แต่จดใส่ไดอารี่ตัวเองเบาๆ
เชอรี่ กับ พี่เก่ง
"เป็นแฟนกัน!!"
โดยที่ทั้งคู่ แอบคบหากันมาสักพัก
สาเหตุการแอบก็คือ
๑. เชอรี่มีสามีแล้ว แม้เธอจะไม่ได้รักเขา แต่เขาก็เป็นสามีตามประเทณีของเธอ
๒. ญาติเชอรี่ไม่มีใครชอบพี่เก่งเลย เพราะพี่เก่งแก่กว่ามากๆ แถมกินเหล้า สูบบุหรี่ แล้วยังสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์อีก
เอาเป็นว่า เรื่องนี้ก็นับเป็นเรื่องต่างคนต่างมุมมองมากๆ
คนนึง เป็นสาวชาวพม่า ทำงานคล่องแคล่ว ขยันเกินใคร
แต่ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นเพียงแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีการศึกษา
คนนึง เป็นผู้ชายติดส์แตก ความสามารถล้นเหลือ ส่วนจะใช้หรือไม่ก็แล้วแต่อารมณ์
แต่ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นเพียงผู้ชายตัวเล็ก เรี่ยวแรงไม่มี แถมขี้เหล้าเมายา ขี้เกียจอีกต่างหาก
เรื่องดราม่าจึงเกิดขึ้น
จากความรักที่ดูเหมือนเรื่องในนิยาย
จึงกลายเป็นละครน้ำเน่าที่ใครหลายคนไม่อยากดู
ทุกฝ่าย กดดัน ทุกคน
ช่วงที่ผ่านมาจึงเป็นช่วงที่ปวดหัวมากๆ
เพราะทุกคนพยายามพูดนั่นนี่กับฉัน
ผู้ซึ่ง "ไม่พูด" อะไรกับเรื่องนี้
"มันรู้อยู่แล้วว่าเขามีผัว มันยังกล้ายุ่ง"
"ทั้งสองคนเขาไม่เหมาะกันเลย อย่างเก่งควรจะได้ผู้หญิงเก่งๆ เพราะตัวมันขี้เกียจ"
"มันโกหกว่าผัวมาขอเลิกมัน ที่จริงมันต่างหากบอกเลิกผัวมัน"
"ถ้าเชอรี่ได้เก่งไปนะ ถือเป็นกรรมของมันแหละ อย่างเชอรี่ต้องได้คนช่วยกันทำมาหากิน"
"อะไรนะ จะย้ายไปเชียงใหม่ด้วยกัน เห๊อะ! อยู่ไม่ได้หรอก"
"นี่มันได้เสียกันหรือยัง?"
"รัก รักบ้าบออะไร ไม่มีศีลธรรม"
ฯลฯ
ระหว่างที่เกิดเรื่องราว
ฉันคิดถึงเรื่อง "คำพิพากษา" ของ ชาต กอบจิตติ
"ฟักได้ถูกพิพากษา ไปแล้วจากขี้ปากและการกระทำของผู้คนเหล่านั้น"
หลายครั้งในชีวิต
ฉันแอบถามตัวเองเบาๆ
"เรามีสิทธิ์ตัดสินใครด้วยเหรอ?"
“อย่าตัดสินผู้อื่น แล้วท่านจะไม่ถูกตัดสิน”
(มธ 7:1)
เรื่องราวหลายอย่างในโลกนี้
หลายครั้ง เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
หลายสิ่ง เกิดขึ้นด้วยเหตุผลบ้าๆ
หลายอย่าง เกิดขึ้นด้วยการตัดสินใจโง่ๆ
แต่สิ่งเหล่านั้นก็เป็นขับเคลื่อนโลกใบนี้
และในตอนตบของเรื่องหลายๆเร่ือง กลับดีอย่างไม่น่าเชื่ออีกด้วย!
เชอรี่มาปรึกษาฉัน
"พี่แนน ในชีวิตหนูนะ หนูอยู่ในกรอบมาโดยตลอด
หนูทำดีมาโดยตลอด ชีวิตหนูดีนะพี่แนน
แต่มันไม่มีความสุขเลย
ตอนนี้หนูแค่อยากมีอิสระ
หนูไม่ได้อยากมีผัวนะ หนูแค่อยากทำในสิ่งที่หนูอยากทำได้
หนูเจอใคร หนูยิ้มให้เขาได้
หนูถามเขาได้ว่า เขากินอะไรหรือยัง
แค่นั้นเองพี่แนน
สุดท้ายนะพี่แนน หนูไม่รู้เลยว่าหนูจะทำยังไงต่อไปดี
สิ่งที่หนูเลือก ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ชอบเลย"
ด้วยอะไรก็ตามที่เชอรี่มาถามคนบ้าบอแบบฉัน
คำตอบที่ได้ จึงบ้าบอพอๆกัน
"พี่พูดตรงๆ นะ พี่ไม่ใช่คนดี
พี่ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย
หลายอย่างที่พี่ตัดสินใจ มันทำให้พี่โคตรเสียใจ
แต่สุดท้าย ถ้าให้พี่ย้อนเวลากลับไป
พี่ว่า..พี่ก็คงเลือกที่จะเสียใจแบบเดิม
เพราะมันเป็นบทเรียนให้กับพี่
วันนี้เชอรี่ต้องตัดสินใจในสิ่งที่ยากมากๆ
นอกจากหัวข้อจะยากแล้ว
สำหรับคนที่ไม่เคยติดสินใจอะไรเองแบบเชอรี่
มันคงจะยากยิ่งกว่า
สำหรับพี่นะ
การตัดสินใจที่ส่งผลให้ชีวิตเราชิบหาย
แต่มันเป็นการตัดสินใจ "ของเรา"
ก็ยังดีกว่าการที่เราไม่เคยได้ตัดสินใจอะไรเองเลย"
ตอนนี้ เชอรี่ลาออก
ขอไปลองใช้ชีวิตที่ไม่มีแอก
และไม่มีคำพูดหรือความคาดหวังของคนอื่นบนบ่า
แม้มันจะไม่ใช่ทางเลือกที่หลายคนพอใจ
แต่มันก็เป็นทางที่เชอรี่พึงใจ
หวังว่าทุกคนที่กำลังอ่านอยู่จนถึงบรรทัดนี้
จะมีความกล้าในการตัดสินใจ
และกล้าที่จะรับผลที่ตามมาของมันได้
โดยไม่กลัว "คำพิพากษา" ของคนอื่น
ชีวิต "โคตร" สั้น
ใช้มันให้เป็นของเรากันเถอะ
วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557
สาส์นจากแพกาญฯ : ความรักคืออะไร ใครตอบได้ช่วยตอบที~
เร่ืองเริ่มต้นจากบ่ายวันหนึ่ง ที่ฉันต้องมาเก็บใบไม้กองยักษ์ที่ตัดเอาไว้
เมื่ออยู่กับพี่เก่งทีไร เรามักมีเร่ืองคุยกันที่คนอื่นมักจะมองว่ามันไร้สาระสิ้นดี
"พี่ว่า ความรักมันคืออะไรเหรอ?" ฉันถาม
พี่เก่งเงียบไปครู่นึง
"เอาจริงๆ ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน"
นี่คือข้อดีของพี่เก่ง
เขาไม่เคยมองว่าคำถามทุกคำถามจากฉันเป็นเรื่องเวิ่นเว้อ
"ถ้าความรักมันคือการต้องทำทุกอย่างให้ได้มา มันเรียกว่าความรักไหม?"
พี่เก่งถามกลับ
"ไม่รู้สิ เราว่าความรักมันเป็นเรื่องของการอยากเห็นเขามีความสุข
..แม้ว่ามันจะหมายถึงเราไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนั้นหรือเปล่า?"
ฉันตอบแบบนางเอก
"คือ..ถ้าเรารักใคร เราต้องปล่อยเขาไป แบบนั้นเรียกว่าความรัก?" พี่เก่งถามซ้ำ
"อืม ก็ถ้าปล่อยไป แล้วเขายังกลับมาหาเรา นั่นคงเป็นความรัก"
"หรือผมต้องบอกว่า ความรักคือการให้ เอาแบบหล่อๆ" พี่เก่งเริ่มกวนกลับ
"บ้า ก็ถ้าคิดว่ามันไม่ใช่ก็ไม่ใช่เส่ะ แค่ถามเฉยๆ" ฉันขำกลับ
"บางทีเราแค่รู้สึกว่า ความรัก เป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้มากๆ
หลายครั้งเราก็เอาคำว่า รัก มาอ้างให้คนฟังรู้สึกดีเวลาเราทำอะไร"
ฉันแชร์สิ่งที่คิด
"ก็ใช่ แต่ผมว่าหลายๆทีความรักมันไม่เป็นคำพูด
มันเป็นความรู้สึกมากกว่า" พี่เก่งตอบเหมือนคนเมา
"แหวะ จะอ้วก!" ฉันทำท่าแขยง
"เมื่อก่อนเราก็เคยคิดนะ ว่าความรักคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำสิ่งที่ดี
แต่สุดท้ายรู้อะไรไหม ความรักมันเป็นแค่ความรู้สึก ที่วันนึงมันก็หายไปได้
เราว่าถ้าเราจะอยู่กับใครสักคน ความเข้าใจ เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า"
ฉันตอบเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากทางความรัก
"ความรักมันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่ผมว่าเราก็อยู่กับคนที่เราไม่รักเลยไม่ได้หรอก" พี่เก่งเสริม
"สุดท้ายนะ อะไรคือสิ่งที่สำคัญรู้ไหม" ฉันถามด้วยหน้าปีศาจร้าย
"เงิน ไงล่ะ!
ใครหน้าไหนบอกเงินซื้อความสุขไม่ได้ เงินซื้อได้ทุกอย่างที่ทำให้เราสบาย
ถ้าวันนึง แม่เราไม่สบาย ไอ้ความรักหน้าไหนจะมาจ่ายค่าหมอให้เรา?
มีโรงพยาบาลไหนรับความรักเป็นค่ายาบ้าง? ไม่มี!"
ฉันตอบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างปีศาจร้าย
"หมวยครับ ผมว่าหมวยสุดโต่งไปแล้ว หมวยกำลังจมในทุนนิยม"
พี่เก่งตอบเบาๆ
ทำให้ฉันได้ฉุกคิด
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้ฉันอดทนอยากรีบสร้างตัวเพื่อให้แม่อยู่สบายๆ
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้เพื่อนฉันยอมสละเวลามาหาฉันทุกครั้งที่ฉันเข้ากทม.
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้ฉันได้รับการอภัยจากคนรอบตัวเสมอ แม้จะเป็นความผิดเดิมๆก็ตาม
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้ทุกครั้งฉันกลับบ้านแล้วรู้สึกอบอุ่นที่ปู่กระโดดมากอด
...
หลายครั้ง เราอาจจะใช้ชีวิตทุกวันโดยมองผ่านความรักไป
เพราะเราคาดหวังว่าความรักจะต้องมาในรูปแบบของ
ดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่
ดินเนอร์ใต้แสงเทียน
เซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน
หรืออะไรสักอย่าง
หน้าตาของความรักที่เขาค้นหา อาจจะไม่ใช่ความรักที่แท้จริงในชีวิต
อาจจะเป็นรอยยิ้มของแม่ เวลาเจอเรา
อาจจะเป็นเสียงหัวเราะของคนที่เราทำงานด้วย
อาจจะเป็นคำถามว่า "มึงเป็นไงมั่ง?" จากเพื่อนที่ห่างหาย
อาจจะเป็นการกระโดดมานั่งตักของแมวที่บ้าน
อาจจะเป็นคำด่าของเพื่อน ที่สุดท้ายก็ยืนหยัดอยู่ข้างเรา
ความรัก
ยิ่งคิด ยิ่งมอง
ก็ยิ่งรู้สึกว่าฉันรายล้อมไปด้วยความรักรอบตัว
ขอบอกพี่เก่งผ่านตรงนี้
"หมวยไม่ได้หลงลืมความรักนะ
เพราะหมวยรักทุกอย่างรอบตัวเลย!"
กลับไปสู่ภาวะโลกสวย ณ แพกาญฯก่อนอีกครั้ง
อาทิตย์สวัสดี
เมื่ออยู่กับพี่เก่งทีไร เรามักมีเร่ืองคุยกันที่คนอื่นมักจะมองว่ามันไร้สาระสิ้นดี
"พี่ว่า ความรักมันคืออะไรเหรอ?" ฉันถาม
พี่เก่งเงียบไปครู่นึง
"เอาจริงๆ ผมก็คิดเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกัน"
นี่คือข้อดีของพี่เก่ง
เขาไม่เคยมองว่าคำถามทุกคำถามจากฉันเป็นเรื่องเวิ่นเว้อ
"ถ้าความรักมันคือการต้องทำทุกอย่างให้ได้มา มันเรียกว่าความรักไหม?"
พี่เก่งถามกลับ
"ไม่รู้สิ เราว่าความรักมันเป็นเรื่องของการอยากเห็นเขามีความสุข
..แม้ว่ามันจะหมายถึงเราไม่ได้มีส่วนร่วมตรงนั้นหรือเปล่า?"
ฉันตอบแบบนางเอก
"คือ..ถ้าเรารักใคร เราต้องปล่อยเขาไป แบบนั้นเรียกว่าความรัก?" พี่เก่งถามซ้ำ
"อืม ก็ถ้าปล่อยไป แล้วเขายังกลับมาหาเรา นั่นคงเป็นความรัก"
"หรือผมต้องบอกว่า ความรักคือการให้ เอาแบบหล่อๆ" พี่เก่งเริ่มกวนกลับ
"บ้า ก็ถ้าคิดว่ามันไม่ใช่ก็ไม่ใช่เส่ะ แค่ถามเฉยๆ" ฉันขำกลับ
"บางทีเราแค่รู้สึกว่า ความรัก เป็นอะไรที่จับต้องไม่ได้มากๆ
หลายครั้งเราก็เอาคำว่า รัก มาอ้างให้คนฟังรู้สึกดีเวลาเราทำอะไร"
ฉันแชร์สิ่งที่คิด
"ก็ใช่ แต่ผมว่าหลายๆทีความรักมันไม่เป็นคำพูด
มันเป็นความรู้สึกมากกว่า" พี่เก่งตอบเหมือนคนเมา
"แหวะ จะอ้วก!" ฉันทำท่าแขยง
"เมื่อก่อนเราก็เคยคิดนะ ว่าความรักคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำสิ่งที่ดี
แต่สุดท้ายรู้อะไรไหม ความรักมันเป็นแค่ความรู้สึก ที่วันนึงมันก็หายไปได้
เราว่าถ้าเราจะอยู่กับใครสักคน ความเข้าใจ เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า"
ฉันตอบเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากทางความรัก
"ความรักมันอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่ผมว่าเราก็อยู่กับคนที่เราไม่รักเลยไม่ได้หรอก" พี่เก่งเสริม
"สุดท้ายนะ อะไรคือสิ่งที่สำคัญรู้ไหม" ฉันถามด้วยหน้าปีศาจร้าย
"เงิน ไงล่ะ!
ใครหน้าไหนบอกเงินซื้อความสุขไม่ได้ เงินซื้อได้ทุกอย่างที่ทำให้เราสบาย
ถ้าวันนึง แม่เราไม่สบาย ไอ้ความรักหน้าไหนจะมาจ่ายค่าหมอให้เรา?
มีโรงพยาบาลไหนรับความรักเป็นค่ายาบ้าง? ไม่มี!"
ฉันตอบเสียงกลั้วหัวเราะอย่างปีศาจร้าย
"หมวยครับ ผมว่าหมวยสุดโต่งไปแล้ว หมวยกำลังจมในทุนนิยม"
พี่เก่งตอบเบาๆ
ทำให้ฉันได้ฉุกคิด
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้ฉันอดทนอยากรีบสร้างตัวเพื่อให้แม่อยู่สบายๆ
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้เพื่อนฉันยอมสละเวลามาหาฉันทุกครั้งที่ฉันเข้ากทม.
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้ฉันได้รับการอภัยจากคนรอบตัวเสมอ แม้จะเป็นความผิดเดิมๆก็ตาม
มันไม่ใช่เพราะความรักหรอกเหรอ
ที่ทำให้ทุกครั้งฉันกลับบ้านแล้วรู้สึกอบอุ่นที่ปู่กระโดดมากอด
...
หลายครั้ง เราอาจจะใช้ชีวิตทุกวันโดยมองผ่านความรักไป
เพราะเราคาดหวังว่าความรักจะต้องมาในรูปแบบของ
ดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่
ดินเนอร์ใต้แสงเทียน
เซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน
หรืออะไรสักอย่าง
หน้าตาของความรักที่เขาค้นหา อาจจะไม่ใช่ความรักที่แท้จริงในชีวิต
อาจจะเป็นรอยยิ้มของแม่ เวลาเจอเรา
อาจจะเป็นเสียงหัวเราะของคนที่เราทำงานด้วย
อาจจะเป็นคำถามว่า "มึงเป็นไงมั่ง?" จากเพื่อนที่ห่างหาย
อาจจะเป็นการกระโดดมานั่งตักของแมวที่บ้าน
อาจจะเป็นคำด่าของเพื่อน ที่สุดท้ายก็ยืนหยัดอยู่ข้างเรา
ความรัก
ยิ่งคิด ยิ่งมอง
ก็ยิ่งรู้สึกว่าฉันรายล้อมไปด้วยความรักรอบตัว
ขอบอกพี่เก่งผ่านตรงนี้
"หมวยไม่ได้หลงลืมความรักนะ
เพราะหมวยรักทุกอย่างรอบตัวเลย!"
กลับไปสู่ภาวะโลกสวย ณ แพกาญฯก่อนอีกครั้ง
อาทิตย์สวัสดี
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557
สาส์นจากแพกาญฯ : อวัยวะไหน สำคัญกว่า?
คุณเคยคิดไหมว่าอวัยวะไหนสำคัญกว่ากัน?
เรื่องเกิดจาก การทำงานที่แพ
มีหลายบทบาท หน้าที่
ซึ่งแต่ละบทบาทหน้าที่ ต่างก็มองว่าตัวเองสำคัญ และทำงานหนักมากกว่าใคร
คนปูห้อง ก็คิดว่าตัวเองต้องแบกผ้า ปูห้องแต่ละห้อง ช่างเหนื่อยมาก
คนซักผ้า ก็คิดว่าตัวเองต้องขนผ้า แบกไปซัก แถมต้องแบกไปตากอีก ช่างเหนื่อยมาก
คนทำความสะอาด ก็คิดว่าตัวเองต้องเก็บขยะไปทิ้ง กวาดถูทั้งหมด ช่างเหนื่อยมาก
คนล้างจาน ก็คิดว่าตัวเองล้างจานอยู่คนเดียว ช่างเหนื่อยมาก
คนทำบาร์ ก็คิดว่าตัวเองต้องอยู่ดึก วุ่นวายกับแขก ช่างเหนื่อยมาก
แต่ละหน้าที่ ต่างคิดว่าตัวเอง ช่างเหนื่อยมาก
และเริ่มคิดว่า หน้าที่อื่น ช่างสบายเหลือ!
วันหนึ่ง หากเท้าคิดว่าตัวเองทำงานหนักกว่าตา
และขอประท้วง ไม่เดิน
คิดว่าร่างกายเราจะเป็นยังไง?
วันหนึ่ง หากตาคิดว่าตัวเองทำงานหนักกว่าฟัน
และขอประท้วง ไม่มอง
คิดว่าร่างกายจะเป็นยังไง?
วันหนึ่ง หากฟันคิดว่าตัวเองทำงานหนักกว่าเท้า
และขอประท้วง ไม่เคี้ยว
คิดว่าร่างกายจะเป็นยังไง?
ทุกอย่าง สัมพันธ์กัน
ทุกสิ่ง เกื้อหนุนกัน
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่เคยคิดว่าอาชีพอะไรสำคัญกว่ากัน
กรรมกร กับ นักธุรกิจ
คนหนึ่งคิด อีกคนเป็นคนทำ
แต่หากวันใด ใครสักคนคิดว่าตัวเองมีค่ากว่าอีกคน
องค์กรนั้นจะเริ่มสั่นคลอน
คงเป็นหน้าที่ของทุกคน ที่จะเคารพศักดิ์ศรีของแต่ละอาชีพ
เพราะหากเราทุกคนให้เกียรติในอาชีพของเขา
ทำให้เขาเห็นคุณค่าในอาชีพตัวเอง
เขาก็จะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ
เราจะได้กินข้าวที่ชาวนาตั้งใจปลูก
เราจะได้อยู่บ้านที่คนงานตั้งใจสร้าง
เราจะได้ขึ้นเครื่องบินที่แอร์อยากบริการ
เราจะได้เข้าห้องน้ำที่สะอาดเพราะพนักงานตั้งใจทำ
ตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น
ฉันได้เจอกับพนักงานสาวตัวเล็กคนหนึ่ง
เธอเป็นคนเกาหลีที่มาทำงานที่ญี่ปุ่น
เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นของทั้งคู่
เธอทำงานเป็นผู้ช่วย Stylist
ทั้งที่ Stylist เป็นผู้ชาย แต่กลับไม่ช่วยเธอถือแม้แต่ชิ้นเดียว
ฉันบอกว่าจะขอช่วยเธอแบกเสื้อผ้าที่เธอต้องถือ
เธอตอบฉันมาว่า
"please Let me do my Job. You have your own job too."
แม้จะไม่เข้าใจว่าการช่วยเหลือเพียงแค่แบกเสื้อผ้า
จะทำให้เธอรู้สึกว่าเธอทำงานบกพร่องได้ขนาดนั้น
แต่ก็ทำให้ฉันเห็นมุมมองความคิดเรื่องการทำงานของเธอ
เรามีงานให้ทำ
เราต้องทำงานของเราให้ดี ในทุกๆตำแหน่งล้วนมีความสำคัญ
วันไหนที่ฉันเป็นผู้ใหญ่ แล้วดูถูกตำแหน่งเล็กๆ
รบกวนเอามือมาตบกบาลฉัน แล้วเอาบทความที่ฉันเขียนในวันนี้มาให้ฉันอ่านเตือนสติที
สุดท้ายนี้คงต้องขอตัวไปก่อน
เพราะกระเพราะเริ่มทำหน้าที่ร้องหาอาหาร
ในขณะที่หนังตาของฉันก็เริ่มล้าแล้ว
ทุกอวัยวะต้องการความสนใจจากฉันล่ะ!
เรื่องเกิดจาก การทำงานที่แพ
มีหลายบทบาท หน้าที่
ซึ่งแต่ละบทบาทหน้าที่ ต่างก็มองว่าตัวเองสำคัญ และทำงานหนักมากกว่าใคร
คนปูห้อง ก็คิดว่าตัวเองต้องแบกผ้า ปูห้องแต่ละห้อง ช่างเหนื่อยมาก
คนซักผ้า ก็คิดว่าตัวเองต้องขนผ้า แบกไปซัก แถมต้องแบกไปตากอีก ช่างเหนื่อยมาก
คนทำความสะอาด ก็คิดว่าตัวเองต้องเก็บขยะไปทิ้ง กวาดถูทั้งหมด ช่างเหนื่อยมาก
คนล้างจาน ก็คิดว่าตัวเองล้างจานอยู่คนเดียว ช่างเหนื่อยมาก
คนทำบาร์ ก็คิดว่าตัวเองต้องอยู่ดึก วุ่นวายกับแขก ช่างเหนื่อยมาก
แต่ละหน้าที่ ต่างคิดว่าตัวเอง ช่างเหนื่อยมาก
และเริ่มคิดว่า หน้าที่อื่น ช่างสบายเหลือ!
วันหนึ่ง หากเท้าคิดว่าตัวเองทำงานหนักกว่าตา
และขอประท้วง ไม่เดิน
คิดว่าร่างกายเราจะเป็นยังไง?
วันหนึ่ง หากตาคิดว่าตัวเองทำงานหนักกว่าฟัน
และขอประท้วง ไม่มอง
คิดว่าร่างกายจะเป็นยังไง?
วันหนึ่ง หากฟันคิดว่าตัวเองทำงานหนักกว่าเท้า
และขอประท้วง ไม่เคี้ยว
คิดว่าร่างกายจะเป็นยังไง?
ทุกอย่าง สัมพันธ์กัน
ทุกสิ่ง เกื้อหนุนกัน
โดยส่วนตัวแล้ว ฉันไม่เคยคิดว่าอาชีพอะไรสำคัญกว่ากัน
กรรมกร กับ นักธุรกิจ
คนหนึ่งคิด อีกคนเป็นคนทำ
แต่หากวันใด ใครสักคนคิดว่าตัวเองมีค่ากว่าอีกคน
องค์กรนั้นจะเริ่มสั่นคลอน
คงเป็นหน้าที่ของทุกคน ที่จะเคารพศักดิ์ศรีของแต่ละอาชีพ
เพราะหากเราทุกคนให้เกียรติในอาชีพของเขา
ทำให้เขาเห็นคุณค่าในอาชีพตัวเอง
เขาก็จะมีความสุขกับสิ่งที่ทำ
เราจะได้กินข้าวที่ชาวนาตั้งใจปลูก
เราจะได้อยู่บ้านที่คนงานตั้งใจสร้าง
เราจะได้ขึ้นเครื่องบินที่แอร์อยากบริการ
เราจะได้เข้าห้องน้ำที่สะอาดเพราะพนักงานตั้งใจทำ
ตอนไปทำงานที่ญี่ปุ่น
ฉันได้เจอกับพนักงานสาวตัวเล็กคนหนึ่ง
เธอเป็นคนเกาหลีที่มาทำงานที่ญี่ปุ่น
เราคุยกันด้วยภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นของทั้งคู่
เธอทำงานเป็นผู้ช่วย Stylist
ทั้งที่ Stylist เป็นผู้ชาย แต่กลับไม่ช่วยเธอถือแม้แต่ชิ้นเดียว
ฉันบอกว่าจะขอช่วยเธอแบกเสื้อผ้าที่เธอต้องถือ
เธอตอบฉันมาว่า
"please Let me do my Job. You have your own job too."
แม้จะไม่เข้าใจว่าการช่วยเหลือเพียงแค่แบกเสื้อผ้า
จะทำให้เธอรู้สึกว่าเธอทำงานบกพร่องได้ขนาดนั้น
แต่ก็ทำให้ฉันเห็นมุมมองความคิดเรื่องการทำงานของเธอ
เรามีงานให้ทำ
เราต้องทำงานของเราให้ดี ในทุกๆตำแหน่งล้วนมีความสำคัญ
วันไหนที่ฉันเป็นผู้ใหญ่ แล้วดูถูกตำแหน่งเล็กๆ
รบกวนเอามือมาตบกบาลฉัน แล้วเอาบทความที่ฉันเขียนในวันนี้มาให้ฉันอ่านเตือนสติที
สุดท้ายนี้คงต้องขอตัวไปก่อน
เพราะกระเพราะเริ่มทำหน้าที่ร้องหาอาหาร
ในขณะที่หนังตาของฉันก็เริ่มล้าแล้ว
ทุกอวัยวะต้องการความสนใจจากฉันล่ะ!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)