หลังจากที่เงินจำนวน 8,300 บาท อันตรทานไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉันพยายามปลอบใจตัวเองว่า "เอาน่า ถือว่าฟาดเคราห์ะสิ้นปี"
สิ่งต่อมาที่เกิดขึ้นในใจก็คือการนั่งทบทวนถึงทุกสิ่งที่อย่างที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่าน
เดี๋ยวนะ.. ปีที่ผ่านมาเป็นปีชงของฉันเหรอเนี่ย ?!
เปิดศักราชด้วยปาร์ตี้ปีใหม่
ขาหัก เดินไม่ได้ไป 4 เดือน (มกรา / กุมภา / มีนา / เมษา)
ต่อด้วยเมษา ทำกล้องที่เพิ่งซื้อได้ 2 สัปดาห์ อาบน้ำทะเลเสม็ด
สูญสิ้นทั้งกล้อง และไอโฟน4 แก่ๆ
ทำให้ต้องผ่านลมราคา 26,XXX ไป 4 เดือน และผ่อนไอโฟน 5 เครื่องใหม่ไปเงียบๆ
สิงหา ย้ายมาทำงานที่แพ เปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่
สิ่งที่เคยได้ทำ กลับไม่ได้ทำ
แถมยังต้องมาทำสิ่งที่ไม่เคยคิดจะอยากทำ
ตุลาคม ต้อนรับเดือนเกิดของตัวเอง ด้วยการไอโฟน 5 พัง
ต้องมาซ่อมในเมืองหลวงก่อนไปตรัง
เสียค่าซ่อมราคา 9,200 บาท
ส่งท้ายสิ้นปีด้วยการทำเงินหายอย่างไร้เหตุผล จำนวน 8,300 บาท
จากเร่ืองราวทั้งหมด ปีที่ผ่านมาเสียค่าเสียหายไปราว 82,000 บาทไทย
(หมายเหตุ : ราคานี้ยังไม่รวมค่าเสียหายเช่นการเปลี่ยนแบท เปลี่ยนยางรถ และค่าจิปาถะ)
จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า "นี่ปีชงของฉันหรือไม่?"
สุดท้าย หลังจากคิดทบทวนไปมา
ฉันกลับรู้สึกขอบคุณ ถ้าเกิดปีนี้เป็นปีชงจริงๆ
แต่ฉันรู้ว่ามันชงเอาก็ตอนที่เหลือเวลาของปีนี้อีกเพียง 3 วัน
เพราะถ้าฉันหมกมุ่นกับมันตั้งแต่ต้นปีว่าจะเป็นปีชงของฉัน
ฉันคงไม่เดินทางไกลไปแชงกรีล่า
ฉันคงไม่ตัดสินใจลาออกจากงานที่รัก เพื่อเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งใหม่
ฉันคงไม่ยอมไปเที่ยวที่ไหนสักที่
ฉันคงหดหู่ ซึมเศร้า
แต่ก็ต้องยอมรับ ว่าลึกๆแล้ว ฉันเป็นคนโชคดีมาก!
ความโชคดีอย่างแรกก็คือ ทุกครั้งที่ฉันมีปัญหา ฉันจะมีคนอยู่ข้างๆเสมอ
แม้คนเหล่านั้นจะด่าทอฉัน จิกกัดฉัน
แต่ฉันรู้ว่าสุดท้าย เขาเป็นคนที่รักและหาทางช่วยเหลือฉันเสมอ
สุดท้ายชีวิตเราคงต้องเจอเรื่องโชคร้ายกันอีกเยอะ
รีบหาคนดีๆในชีวิต มาคอยดูแลเวลาเราทุกข์ใจ
ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรัก สุดท้าย อาจจะไม่จำเป็นคนด้วยซ้ำ!
ขอให้ทุกคนได้มีใครเคียงข้างในปีที่โหดร้ายค่ะ :)
วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : วันมามากของหรรษา
เงียบหายไป เพราะไปทำงานตัวเป็นเกลียว
หลังจากที่เหล่าผู้ใหญ่และผู้รับผิดชอบงานทั้งหลาย ต่างลี้หนีแพไป
เหลือเพียงตัวเรา ที่ต้องก้มหน้ารับผิดชอบงานที่เหลือ
ตารางชีวิตจึงต้องปรับเปลี่ยนเป็นดังนี้
5:30 - ตื่นนอน
6:00 - เริ่มต้นเช็คเอาท์แขก และดูแลพนักงานที่มาทำงานว่ามาครบไหม
7:00 - จัดสรรพนักงาน หากมาทำงานไม่ครบ ยังไงงานทั้งแพต้องเสร็จ (หากฝ่ายใดหายไป หรรษาจะต้องเป็นผู้เข้าไปทำแทน) และรับตรวจสอบของหากของหาย แขกลืมของ หรืออะไรก็ตาม รวมถึงหากของในแพเสียหาย ก็ต้องรีบแจ้งไกด์ให้รับผิดชอบเก็บค่าเสียหายมาให้ รวมถึงตามซ่อมของที่พังนั้น
9:00 - เดินกลับห้องไปอาบน้ำ แอบงีบหากหลับลง (ส่วนมากจะไม่หลับ)
11:30 - เดินดู เช็คงานส่วนต่างๆ ว่าทำเรียบร้อยไหม งานที่ต้องตรวจมีตั้งแต่ซักผ้าขนหนู / ปูเตียง / ใส่ของในห้องพัก / รดน้ำต้นไม้ / ตัดกิ่งไผ่ ฯลฯ
12:30 - ลงมากินข้าว กินกาแฟ
13:30 - เริ่มพับผ้าปู เตรียมเงินสำหรับทำทุนขายบาร์
16:00 - ขึ้นไปอาบน้ำ เพราะขายบาร์จะเลิกดึก
17:00 - ประจำการในบาร์ ต่อเนื่องไปจนปิดบาร์ โดยหากห้องแขกมีปัญหา หรือต้องการการเปลี่ยนห้อง ก็ต้องทำให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
23:00 - เวลาปิดบาร์
23:15 - ปิดบาร์แม้แขกจะไม่ยอมให้ปิด เคลียร์ค่านวด เคลียร์ค่าบาร์
24:00 - โดยประมาณ คือเวลากลับถึงห้องเตรียมอาบน้ำนอน
00:30 - กลิ้งไปกลิ้งมา นอนไม่หลับ เพราะต้องมานอนในแพ เสียงน้ำไหล และเสียงไม้อี๊ดแอ๊ด ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ
1:00 - โดยมากจะหลับสักที
ชีวิตวนอยู่แบบนั้นเป็นสัปดาห์
จากทำไม่ได้ ทำไม่ไหว
กลายเป็นทำได้ เริ่มชิน
และเริ่มพัฒนาเป็นร่างสลายในตอนนี้
ฉันกำลังเป็นภาวะความเหนื่อยสะสม!
นั่นถือเป็นเรื่องของปัญหา
แต่ในส่วนอื่น ภาวะที่ผ่านมาทำให้ฉันรู้สึกเคารพในตัวเองขึ้นมาก
ทำให้ฉันเห็นว่า
ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่ามันจะเหนื่อยขนาดไหน เราจะทำได้เสมอ
ขอเพียงตั้งใจ
เคยอ่านหนังสือ เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน ใครสักคนเคยบอกไว้
ตราบใดที่ใจเรายังไหว
ขาเราจะก้าวต่อไปได้เอง
การผ่านภาวะนี้ไปได้ ทำให้ฉันเชื่อมั่นในความแข็งแรงของใจตัวเองมากขึ้น
และหวังว่าหลายๆคน คงจะมีใจเข้มแข็งพอ
ในวันที่ต้องเจอช่วงวันมามากแบบฉันได้
ปล. แต่มามากแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก ร่างกายจะไม่แข็งแรงตามหัวใจล่ะ!
หลังจากที่เหล่าผู้ใหญ่และผู้รับผิดชอบงานทั้งหลาย ต่างลี้หนีแพไป
เหลือเพียงตัวเรา ที่ต้องก้มหน้ารับผิดชอบงานที่เหลือ
ตารางชีวิตจึงต้องปรับเปลี่ยนเป็นดังนี้
5:30 - ตื่นนอน
6:00 - เริ่มต้นเช็คเอาท์แขก และดูแลพนักงานที่มาทำงานว่ามาครบไหม
7:00 - จัดสรรพนักงาน หากมาทำงานไม่ครบ ยังไงงานทั้งแพต้องเสร็จ (หากฝ่ายใดหายไป หรรษาจะต้องเป็นผู้เข้าไปทำแทน) และรับตรวจสอบของหากของหาย แขกลืมของ หรืออะไรก็ตาม รวมถึงหากของในแพเสียหาย ก็ต้องรีบแจ้งไกด์ให้รับผิดชอบเก็บค่าเสียหายมาให้ รวมถึงตามซ่อมของที่พังนั้น
9:00 - เดินกลับห้องไปอาบน้ำ แอบงีบหากหลับลง (ส่วนมากจะไม่หลับ)
11:30 - เดินดู เช็คงานส่วนต่างๆ ว่าทำเรียบร้อยไหม งานที่ต้องตรวจมีตั้งแต่ซักผ้าขนหนู / ปูเตียง / ใส่ของในห้องพัก / รดน้ำต้นไม้ / ตัดกิ่งไผ่ ฯลฯ
12:30 - ลงมากินข้าว กินกาแฟ
13:30 - เริ่มพับผ้าปู เตรียมเงินสำหรับทำทุนขายบาร์
16:00 - ขึ้นไปอาบน้ำ เพราะขายบาร์จะเลิกดึก
17:00 - ประจำการในบาร์ ต่อเนื่องไปจนปิดบาร์ โดยหากห้องแขกมีปัญหา หรือต้องการการเปลี่ยนห้อง ก็ต้องทำให้เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
23:00 - เวลาปิดบาร์
23:15 - ปิดบาร์แม้แขกจะไม่ยอมให้ปิด เคลียร์ค่านวด เคลียร์ค่าบาร์
24:00 - โดยประมาณ คือเวลากลับถึงห้องเตรียมอาบน้ำนอน
00:30 - กลิ้งไปกลิ้งมา นอนไม่หลับ เพราะต้องมานอนในแพ เสียงน้ำไหล และเสียงไม้อี๊ดแอ๊ด ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ
1:00 - โดยมากจะหลับสักที
ชีวิตวนอยู่แบบนั้นเป็นสัปดาห์
จากทำไม่ได้ ทำไม่ไหว
กลายเป็นทำได้ เริ่มชิน
และเริ่มพัฒนาเป็นร่างสลายในตอนนี้
ฉันกำลังเป็นภาวะความเหนื่อยสะสม!
นั่นถือเป็นเรื่องของปัญหา
แต่ในส่วนอื่น ภาวะที่ผ่านมาทำให้ฉันรู้สึกเคารพในตัวเองขึ้นมาก
ทำให้ฉันเห็นว่า
ถ้าเราตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง ไม่ว่ามันจะเหนื่อยขนาดไหน เราจะทำได้เสมอ
ขอเพียงตั้งใจ
เคยอ่านหนังสือ เกี่ยวกับการวิ่งมาราธอน ใครสักคนเคยบอกไว้
ตราบใดที่ใจเรายังไหว
ขาเราจะก้าวต่อไปได้เอง
การผ่านภาวะนี้ไปได้ ทำให้ฉันเชื่อมั่นในความแข็งแรงของใจตัวเองมากขึ้น
และหวังว่าหลายๆคน คงจะมีใจเข้มแข็งพอ
ในวันที่ต้องเจอช่วงวันมามากแบบฉันได้
ปล. แต่มามากแบบนี้ต่อไปอีกสักพัก ร่างกายจะไม่แข็งแรงตามหัวใจล่ะ!
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : ลอย ลอย กระทง
เทศกาลลอยกระทงเพิ่งจะผ่านพ้นไป
สำหรับหลายคนที่เลิกงานแล้วก็เดินแวะไปซื้อกระทง
ลอยให้พอเข้าสังคม ถ่ายรูปลงโซเชี่ยว ลอยให้พอสร้างขยะ แล้วกลับบ้าน
อาจจะไม่รู้สึกอินเท่าไร
แต่สำหรับคนที่ต้องจัดงานเตรียมงานเพื่อให้แขกฝรั่งมาลอยกระทงที่แพอย่างดิฉัน
บอกเลยว่า "เหนื่อยมากกกกกกกก"
นอกจากจะต้องสั่งทำกระทง จัดแต่งสถานที่ เตรียมโชว์ จัดที่นั่งให้แขกดูโชว์
ฉันยังต้องทำกระทงของตัวเองอีกด้วย :)
แต่ความเหนื่อยที่เกิดขึ้นทั้งหมด หายไป
เมื่อเห็นความสุขของฝรั่งที่มาดู
(ตอบสวยเหมือนนางงามจริงๆ)
เพราะคิดถึงเวลาที่ตัวเองไปเที่ยว
ได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างของเขา
ได้เรียนรู้ที่มาที่ไปของแต่ละเร่ืองราว แต่ละวัฒนธรรม
ฉันเคยคุยกับป้ามักก้า เขาเป็นเพื่อนพ่อชาวไอส์แลนด์
เขาดีใจมากที่ฉันรักการเดินทาง
"It helps you learn how to respect people."
ฉันเห็นว่าจะจริง
คนที่ชอบเดินทาง(ไม่ใช่ชอบเที่ยวนะ)
มักใส่ใจรายละเอียด และไม่ดูถูกคนอื่น
น่าประหลาดใจที่ฝรั่งกลับเป็นคุณค่าของการขอขมาแม่น้ำ
มากกว่าเจ้าของประเทศที่ลอยกระทงกันทั้งเมือง
โดยที่ไม่สนใจความสำคัญของมัน
กลับมาที่งานลอยกระทง
มีผู้หญิงและเด็กน้อยแต่งตัวเป็นพม่าเต็มยศมา
เขาคือลูกและเมียของพี่โทน (ตัวละครที่เคยโผล่มาตั้งแต่ตอนแรก)
พี่จา - เมียพี่โทน ยามเช้าเขาจะมาทำความสะอาดให้ห้องพักด้านบน
ตกเย็นเขาจะแปลงร่างเป็นหมอนวดประจำแพด้วย
ฉันผู้ต้องดูแลพื้นที่ด้านบนเป็นหลัก จึงสนิทกับเขามากเป็นพิเศษ
"เย็นนี้พี่จะมางานด้วย เอาน้องนัทมาลอยกระทง"
"พี่จาแต่งตัวเป็นมอญมาเลยสิ แต่งให้น้องนัทก็ได้"
"คิดอยู่ว่าจะแต่งเป็นมอญ หรือ พม่าดี พี่ไปจ้างเขาเย็บชุดมาเลยนะให้น้องนัท"
"แต่งมาเลย ฝรั่งกรี๊ดกร๊าดแน่พี่จา"
"พี่สั่งซื้อกระทงไปแล้วด้วย 3 อัน"
ล่วงเลยมาตอนเย็น ฉันเจอพี่โทนกับกระทงดูบิดๆเบี้ยวๆ
"นี่คือกระทงที่ซื้อมาเรอะ ทำไมมันแปลกจัง"
"ผมทำเอง ผมบอกจาแล้ว เก็บเงินให้น้องนัทกินขนมดีกว่า ผมทำให้เอง"
หลังจากประโยคนั้นไม่นาน พี่จาก็แต่งองค์ทรงเครื่องมาพร้อมกับน้องนัท
ในงานมีสาวพม่า และเด็กน้อยชาวพม่าอีก 1 คน
ทั้งคู่ไม่พูดอะไรมากมาย เพราะรู้ว่าพี่โทนทำงานอยู่
"โอ้ยย นั่นใครไม่รู้ ไม่รู้จักกัน" พี่โทนพูดแบบเขินๆ
"แน่ใจนะว่าไม่รู้จัก งั้นเดี๋ยวไปบอกเขาให้"
"โอ้ ตายละพี่ เล่นผมอีกแล้ว ผมทำงานอยู่ เขารู้ เขาเข้าใจ"
หลังจากการโชว์
หลังจากที่แขกหมู่มากลอยกระทงเรียบร้อย
หลังจากที่คนในบาร์เริ่มซา
จะเห็นพ่อ แม่ ลูก เดินมาพร้อมหน้าพร้อมตา
จุดเทียน อธิษฐาน และนั่งลอยกระทงพร้อมกัน
นอกจากจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของครอบครัวนั้นแล้ว
จะมีใครเห็นฉันที่มองพวกเขา แล้วแอบยิ้มบ้างไหมนะ : )
สำหรับหลายคนที่เลิกงานแล้วก็เดินแวะไปซื้อกระทง
ลอยให้พอเข้าสังคม ถ่ายรูปลงโซเชี่ยว ลอยให้พอสร้างขยะ แล้วกลับบ้าน
อาจจะไม่รู้สึกอินเท่าไร
แต่สำหรับคนที่ต้องจัดงานเตรียมงานเพื่อให้แขกฝรั่งมาลอยกระทงที่แพอย่างดิฉัน
บอกเลยว่า "เหนื่อยมากกกกกกกก"
นอกจากจะต้องสั่งทำกระทง จัดแต่งสถานที่ เตรียมโชว์ จัดที่นั่งให้แขกดูโชว์
ฉันยังต้องทำกระทงของตัวเองอีกด้วย :)
แต่ความเหนื่อยที่เกิดขึ้นทั้งหมด หายไป
เมื่อเห็นความสุขของฝรั่งที่มาดู
(ตอบสวยเหมือนนางงามจริงๆ)
เพราะคิดถึงเวลาที่ตัวเองไปเที่ยว
ได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างของเขา
ได้เรียนรู้ที่มาที่ไปของแต่ละเร่ืองราว แต่ละวัฒนธรรม
ฉันเคยคุยกับป้ามักก้า เขาเป็นเพื่อนพ่อชาวไอส์แลนด์
เขาดีใจมากที่ฉันรักการเดินทาง
"It helps you learn how to respect people."
ฉันเห็นว่าจะจริง
คนที่ชอบเดินทาง(ไม่ใช่ชอบเที่ยวนะ)
มักใส่ใจรายละเอียด และไม่ดูถูกคนอื่น
น่าประหลาดใจที่ฝรั่งกลับเป็นคุณค่าของการขอขมาแม่น้ำ
มากกว่าเจ้าของประเทศที่ลอยกระทงกันทั้งเมือง
โดยที่ไม่สนใจความสำคัญของมัน
กลับมาที่งานลอยกระทง
มีผู้หญิงและเด็กน้อยแต่งตัวเป็นพม่าเต็มยศมา
เขาคือลูกและเมียของพี่โทน (ตัวละครที่เคยโผล่มาตั้งแต่ตอนแรก)
ตกเย็นเขาจะแปลงร่างเป็นหมอนวดประจำแพด้วย
ฉันผู้ต้องดูแลพื้นที่ด้านบนเป็นหลัก จึงสนิทกับเขามากเป็นพิเศษ
"เย็นนี้พี่จะมางานด้วย เอาน้องนัทมาลอยกระทง"
"พี่จาแต่งตัวเป็นมอญมาเลยสิ แต่งให้น้องนัทก็ได้"
"คิดอยู่ว่าจะแต่งเป็นมอญ หรือ พม่าดี พี่ไปจ้างเขาเย็บชุดมาเลยนะให้น้องนัท"
"แต่งมาเลย ฝรั่งกรี๊ดกร๊าดแน่พี่จา"
"พี่สั่งซื้อกระทงไปแล้วด้วย 3 อัน"
ล่วงเลยมาตอนเย็น ฉันเจอพี่โทนกับกระทงดูบิดๆเบี้ยวๆ
"นี่คือกระทงที่ซื้อมาเรอะ ทำไมมันแปลกจัง"
"ผมทำเอง ผมบอกจาแล้ว เก็บเงินให้น้องนัทกินขนมดีกว่า ผมทำให้เอง"
หลังจากประโยคนั้นไม่นาน พี่จาก็แต่งองค์ทรงเครื่องมาพร้อมกับน้องนัท
ในงานมีสาวพม่า และเด็กน้อยชาวพม่าอีก 1 คน
ทั้งคู่ไม่พูดอะไรมากมาย เพราะรู้ว่าพี่โทนทำงานอยู่
พี่จาพาน้องนัทไปนั่งรอที่ท่าน้ำ จนฉันต้องแซวว่า
"คิดว่าเป็นพี่มากรึไง ต้องให้สาวรออยู่ที่ท่าน้ำเนี่ย!""โอ้ยย นั่นใครไม่รู้ ไม่รู้จักกัน" พี่โทนพูดแบบเขินๆ
"แน่ใจนะว่าไม่รู้จัก งั้นเดี๋ยวไปบอกเขาให้"
"โอ้ ตายละพี่ เล่นผมอีกแล้ว ผมทำงานอยู่ เขารู้ เขาเข้าใจ"
หลังจากการโชว์
หลังจากที่แขกหมู่มากลอยกระทงเรียบร้อย
หลังจากที่คนในบาร์เริ่มซา
จะเห็นพ่อ แม่ ลูก เดินมาพร้อมหน้าพร้อมตา
จุดเทียน อธิษฐาน และนั่งลอยกระทงพร้อมกัน
นอกจากจะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของครอบครัวนั้นแล้ว
จะมีใครเห็นฉันที่มองพวกเขา แล้วแอบยิ้มบ้างไหมนะ : )
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มไหมคะ?
จากจุดที่ฉันอยู่ เรียกว่าห่างไกลความเจริญมาก
ซึ่งความเจริญที่ฉันใช้เป็นมาตรวัด คือ 7-11
โดยความเจริญที่ใกล้ที่สุดจากแพฉัน ห่างไป 26 km.
เรียกว่าไกลเกินกว่าที่จะเดินไปซื้อสเลอปี้กินแน่นอน
ทุกวันนี้ความสุขของคนในแพ คือการได้ไปเที่ยว 7-11
"เห้ย วันนี้ไปท่าเสาเหรอ ฝากซื้อป๊อกกี้หน่อยดิ"
ใช่ เป็นเรื่องน่าประหลาดที่ร้านค้าแถวนี้ไม่ขายป๊อกกี้
อาจจะเพราะชาวบ้านแถวนี้ไม่นิยมขนมที่มีครีมหรือช๊อคโกแลตเป็นส่วนประกอบ
"โหยย ได้ไปหินดาดด้วย ฝากซื้อแยมโรล 7-11 หน่อย"
"วันนี้ป้าไม่อยู่ พี่เลยได้ไปเที่ยว 7-11"
การมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกว่า 7-11 ช่างสูงส่งเหลือเกิน
จนกระทั่งเมื่อเช้า
ฉันเอาขนมปังไปให้เชอรี่ เชอรี่กินและบอกว่า
"ไม่อร่อยเลย ขนมปังฝรั่งเศสเนี่ย หนูซื้อกินที่ 7-11 หน้าบ้านอร่อยกว่า"
ฉันตาลุกวาว
"เชอรี่ ทำไมหน้าบ้านเรามี 7-11 ด้วยเหรอ?"
"มีสิคะ หนูแวะกันทุกเช้าอ่ะ นี่ไงเมื่อเช้าก็ซื้อมา"
"เห้ย มันอยู่ตรงไหน?!" ฉันกะสะสมแสตมป์ต่อแต้มทันที
"นี่ไงคะ 7-11"
ใจความเร่ืองนี้คือ
แขกทุกคนที่เดินทางออกมาจากพัทยา
จะได้ขนมปัง ไข่ต้ม และน้ำผลไม้ จากทัวร์
ถ้าหากเขาไม่อยากกิน หรือกินแล้วไม่อร่อย
เขาก็จะทิ้งมันทั้งกล่อง
(ไม่ต้องห่วงเรื่องอนามัย เพราะมันบรรจุอยู่ในกล่องเรียบร้อย)
จนกลายเป็น 7-11 ของชาวแพ!
"บางทีเขากินขนมแล้วไม่อร่อย ก็ทิ้งไงพี่แนน
ขนมบางทีก็ซื้อจาก 7-11 อยู่ในห่ออย่างดี
เขาไม่อยากกินแล้วก็ขี้เกียจเอากลับ
เสร็จพวกหนูนี่แหละ"
สรุป อดสะสมแสตมป์ตามเดิม
รอเวลาไปเที่ยว 7-11 เองก็ละกัน
ซึ่งความเจริญที่ฉันใช้เป็นมาตรวัด คือ 7-11
โดยความเจริญที่ใกล้ที่สุดจากแพฉัน ห่างไป 26 km.
เรียกว่าไกลเกินกว่าที่จะเดินไปซื้อสเลอปี้กินแน่นอน
ทุกวันนี้ความสุขของคนในแพ คือการได้ไปเที่ยว 7-11
"เห้ย วันนี้ไปท่าเสาเหรอ ฝากซื้อป๊อกกี้หน่อยดิ"
ใช่ เป็นเรื่องน่าประหลาดที่ร้านค้าแถวนี้ไม่ขายป๊อกกี้
อาจจะเพราะชาวบ้านแถวนี้ไม่นิยมขนมที่มีครีมหรือช๊อคโกแลตเป็นส่วนประกอบ
"โหยย ได้ไปหินดาดด้วย ฝากซื้อแยมโรล 7-11 หน่อย"
"วันนี้ป้าไม่อยู่ พี่เลยได้ไปเที่ยว 7-11"
การมาอยู่ที่นี่ทำให้ฉันรู้สึกว่า 7-11 ช่างสูงส่งเหลือเกิน
จนกระทั่งเมื่อเช้า
ฉันเอาขนมปังไปให้เชอรี่ เชอรี่กินและบอกว่า
"ไม่อร่อยเลย ขนมปังฝรั่งเศสเนี่ย หนูซื้อกินที่ 7-11 หน้าบ้านอร่อยกว่า"
ฉันตาลุกวาว
"เชอรี่ ทำไมหน้าบ้านเรามี 7-11 ด้วยเหรอ?"
"มีสิคะ หนูแวะกันทุกเช้าอ่ะ นี่ไงเมื่อเช้าก็ซื้อมา"
"เห้ย มันอยู่ตรงไหน?!" ฉันกะสะสมแสตมป์ต่อแต้มทันที
"นี่ไงคะ 7-11"
ใจความเร่ืองนี้คือ
แขกทุกคนที่เดินทางออกมาจากพัทยา
จะได้ขนมปัง ไข่ต้ม และน้ำผลไม้ จากทัวร์
ถ้าหากเขาไม่อยากกิน หรือกินแล้วไม่อร่อย
เขาก็จะทิ้งมันทั้งกล่อง
(ไม่ต้องห่วงเรื่องอนามัย เพราะมันบรรจุอยู่ในกล่องเรียบร้อย)
จนกลายเป็น 7-11 ของชาวแพ!
"บางทีเขากินขนมแล้วไม่อร่อย ก็ทิ้งไงพี่แนน
ขนมบางทีก็ซื้อจาก 7-11 อยู่ในห่ออย่างดี
เขาไม่อยากกินแล้วก็ขี้เกียจเอากลับ
เสร็จพวกหนูนี่แหละ"
สรุป อดสะสมแสตมป์ตามเดิม
รอเวลาไปเที่ยว 7-11 เองก็ละกัน
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : ตกเรือกันไหม?
วันนี้เกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง
เมื่อเช้า ฉันเช็คกุญแจ และเห็นว่ากุญแจยังขาดไป 2 ห้อง
และแน่นอนว่าฉันบอกไกด์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ด้วยความวุ่นวายช่วงเช้า
แพของทัวร์นั้นก็ล่องออกไปแบบสงบ
โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าไปตอนไหน
จนกระทั่ง..
มีฝรั่งเดินหน้าตามึนๆออกมา ตอน 8 โมงกว่า!
และบอกว่า ตัวเองอยู่ห้องที่ฉันบอกว่ากุญแจหายนั่นแหละ
แต่ประเด็นคือ ไกด์ลืมแขกอีก 4 คนได้ยังไง?!
ความผิดจึงมาตกที่ตัวฉัน ที่ไม่ยอมโวยวายขึ้นมาว่ากุญแจไม่ครบ
(อ่าว ไหงงั้น?)
แต่สิ่งที่ฉันกังวลกว่าคือ แขกจะไม่ได้ล่องแพ จะไม่ได้ทำกิจกรรมที่เป็น hi-light ของทริป
เพราะสุดท้ายรถบัสจะวนกลับมารับแทน
เมื่อแขกทั้ง 4 คนเดินมาที่ Lobby ฉันก็ถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ยินการปลุก
เพราะตอนที่คนไปปลุก..
เขานั่งกินอาหารเช้าอยู่ด้วยกันที่นี่แหละ!
แล้วคงจะกลับไปนอนหลังจากนั้น ตื่นมาอีกทีก็ตึ่ง.. คนหายไปหมดแล้ว
ป้าเจ้าของแพเครียดมาก รู้สึกถึงความผิดพลาดที่ไม่ควรให้อภัยของไกด์
..และฉัน
แขกทั้ง 4 สนุกสนาน กินข้าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังเอากล้องมาถ่ายรูปว่าตกเรือ
ทำให้ฉันได้คิดขึ้นมาว่า
เรื่องราวการมาเที่ยวของแต่ละคน ไม่ควรจะเหมือนกัน
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นหายนะของการเดินทาง
มักเป็นเรื่องที่น่าจดจำเสมอ
คิดเทียบกับชีวิตของคน
เวลาที่เห็นเพื่อนหลายคนมีชีวิตที่ดี มีการทำงานที่ไต่เต้าไปตามลำดับ
บางทีฉันก็อดอิจฉาไม่ได้
เมื่อเทียบกับชีวิตที่ระหกระเหินของฉัน
ที่คาดเดาไม่ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แต่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ก็อาจจะน่าเบื่อ
ชีวิตที่รู้อยู่แล้วว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเดินซ้าย ก้าวขวา พยักหน้า 3 ที
อาจจะไม่เก๋เท่านึกไม่ออกเลยจริงๆว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
ทำให้เรากลายเป็นคนเตรียมพร้อมขึ้นกว่าเก่า
ทำให้เราเข้มแข็ง และพลิกแพลงตัวเองกับบทเรียนแต่ละวันให้ดีขึ้น
และพร้อมยิ้มให้กับเรื่องที่เกิดขึ้น (ในอนาคต)
แบบพวกเขาเหล่านี้
เมื่อเช้า ฉันเช็คกุญแจ และเห็นว่ากุญแจยังขาดไป 2 ห้อง
และแน่นอนว่าฉันบอกไกด์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ด้วยความวุ่นวายช่วงเช้า
แพของทัวร์นั้นก็ล่องออกไปแบบสงบ
โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าไปตอนไหน
จนกระทั่ง..
มีฝรั่งเดินหน้าตามึนๆออกมา ตอน 8 โมงกว่า!
และบอกว่า ตัวเองอยู่ห้องที่ฉันบอกว่ากุญแจหายนั่นแหละ
แต่ประเด็นคือ ไกด์ลืมแขกอีก 4 คนได้ยังไง?!
ความผิดจึงมาตกที่ตัวฉัน ที่ไม่ยอมโวยวายขึ้นมาว่ากุญแจไม่ครบ
(อ่าว ไหงงั้น?)
แต่สิ่งที่ฉันกังวลกว่าคือ แขกจะไม่ได้ล่องแพ จะไม่ได้ทำกิจกรรมที่เป็น hi-light ของทริป
เพราะสุดท้ายรถบัสจะวนกลับมารับแทน
เมื่อแขกทั้ง 4 คนเดินมาที่ Lobby ฉันก็ถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ยินการปลุก
เพราะตอนที่คนไปปลุก..
เขานั่งกินอาหารเช้าอยู่ด้วยกันที่นี่แหละ!
แล้วคงจะกลับไปนอนหลังจากนั้น ตื่นมาอีกทีก็ตึ่ง.. คนหายไปหมดแล้ว
ป้าเจ้าของแพเครียดมาก รู้สึกถึงความผิดพลาดที่ไม่ควรให้อภัยของไกด์
..และฉัน
แขกทั้ง 4 สนุกสนาน กินข้าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังเอากล้องมาถ่ายรูปว่าตกเรือ
ทำให้ฉันได้คิดขึ้นมาว่า
เรื่องราวการมาเที่ยวของแต่ละคน ไม่ควรจะเหมือนกัน
สิ่งที่เราคิดว่าเป็นหายนะของการเดินทาง
มักเป็นเรื่องที่น่าจดจำเสมอ
คิดเทียบกับชีวิตของคน
เวลาที่เห็นเพื่อนหลายคนมีชีวิตที่ดี มีการทำงานที่ไต่เต้าไปตามลำดับ
บางทีฉันก็อดอิจฉาไม่ได้
เมื่อเทียบกับชีวิตที่ระหกระเหินของฉัน
ที่คาดเดาไม่ได้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
แต่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ก็อาจจะน่าเบื่อ
ชีวิตที่รู้อยู่แล้วว่าวันพรุ่งนี้จะต้องเดินซ้าย ก้าวขวา พยักหน้า 3 ที
อาจจะไม่เก๋เท่านึกไม่ออกเลยจริงๆว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
ทำให้เรากลายเป็นคนเตรียมพร้อมขึ้นกว่าเก่า
ทำให้เราเข้มแข็ง และพลิกแพลงตัวเองกับบทเรียนแต่ละวันให้ดีขึ้น
และพร้อมยิ้มให้กับเรื่องที่เกิดขึ้น (ในอนาคต)
แบบพวกเขาเหล่านี้
วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : คำพูดที่มีค่า
ฉันทำงานที่แพ เริ่มต้นจาก 0
ทุกอย่างเริ่มใหม่หมด
ทักษะการทำความสะอาด การตัดต้นไม้ การดูแลพับผ้า การจัดห้อง
(ฯลฯ)
แน่นอนว่าทักษะแบบนี้ ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็น
แต่ก็เหมือนกับเราต้องเขียนอธิบายว่าเราควรจะต้อง "ทำ" อย่างไร
รวมไปถึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า?
คุณลุงเจ้าของแพ เป็นคนขี้บ่น เรียกว่าขี้บ่นระดับชาติ
และมักจะ "พูด" ความคิดของตัวเอง (มักจะเป็นความคิดจากจิตสำนึกที่ดี)
ให้คนรอบข้างฟังอยู่เสมอ
การพูดของลุงมีตั้งแต่เกริ่น / สอน / บ่น / เตือน / ด่า / กร่นด่า / ขุดรากเหง้ามาตบหน้าด้วยคำพูด
ตามแต่สถานการณ์
แน่นอนว่าหลายคนส่ายหัว เวลาลุงพูด
เพราะคำพูดแต่ละคำของลุง ช่างเสียดแทงเหลือเกิน
ลุงสอนให้ทุกคน "สร้างระบบ" ในการทำงาน
เพื่อจะทำงานง่ายขึ้น ไม่เป็นภาระให้กับคนที่ต้องทำงานต่อจากตัวเอง
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเห็นว่าจำเป็น และเห็นด้วยสุดพลัง
มีเพียงปัญหาเล็กๆข้อเดียว
.. ลุงไม่มีระบบในตัวเองสักนิด..
และเรื่องสำคัญคือ
ลุงไม่เคยโทษตัวเองเลยสักนิด
"ของที่อยู่ตรงนี้มันหายไปเพราะมีคนมาย้ายมัน" ลุงบ่นในวันที่มีคนเก็บของเวลาลุงวางระเกะระกะ
"วางของเรี่ยราด แล้วของก็หายทำไมไม่เก็บให้เป็นระบบ" ลุงบ่นในวันที่คนวางของแบบเดิมไม่ใช่ลุง
ปัญหาคือ ทุกคนผิดหมด ลุงถูกเสมอ
ระบบของลุง จึงไม่เคยได้รับความสนใจจากคนอื่น
พอกับคำบ่นของลุง ที่หลายคนฟังแบบผ่านไป แทนจะเก็บมาใส่ใจ
คำพูดพี่เล็กทำฉันผู้ตัดกิ่งไม้อยู่น้ำตาคลอนิดๆ
ทุกอย่างเริ่มใหม่หมด
ทักษะการทำความสะอาด การตัดต้นไม้ การดูแลพับผ้า การจัดห้อง
(ฯลฯ)
แน่นอนว่าทักษะแบบนี้ ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็น
แต่ก็เหมือนกับเราต้องเขียนอธิบายว่าเราควรจะต้อง "ทำ" อย่างไร
รวมไปถึง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า?
-------------------------------------------------------------
คุณลุงเจ้าของแพ เป็นคนขี้บ่น เรียกว่าขี้บ่นระดับชาติ
และมักจะ "พูด" ความคิดของตัวเอง (มักจะเป็นความคิดจากจิตสำนึกที่ดี)
ให้คนรอบข้างฟังอยู่เสมอ
การพูดของลุงมีตั้งแต่เกริ่น / สอน / บ่น / เตือน / ด่า / กร่นด่า / ขุดรากเหง้ามาตบหน้าด้วยคำพูด
ตามแต่สถานการณ์
แน่นอนว่าหลายคนส่ายหัว เวลาลุงพูด
เพราะคำพูดแต่ละคำของลุง ช่างเสียดแทงเหลือเกิน
ลุงสอนให้ทุกคน "สร้างระบบ" ในการทำงาน
เพื่อจะทำงานง่ายขึ้น ไม่เป็นภาระให้กับคนที่ต้องทำงานต่อจากตัวเอง
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเห็นว่าจำเป็น และเห็นด้วยสุดพลัง
มีเพียงปัญหาเล็กๆข้อเดียว
.. ลุงไม่มีระบบในตัวเองสักนิด..
และเรื่องสำคัญคือ
ลุงไม่เคยโทษตัวเองเลยสักนิด
"ของที่อยู่ตรงนี้มันหายไปเพราะมีคนมาย้ายมัน" ลุงบ่นในวันที่มีคนเก็บของเวลาลุงวางระเกะระกะ
"วางของเรี่ยราด แล้วของก็หายทำไมไม่เก็บให้เป็นระบบ" ลุงบ่นในวันที่คนวางของแบบเดิมไม่ใช่ลุง
ปัญหาคือ ทุกคนผิดหมด ลุงถูกเสมอ
ระบบของลุง จึงไม่เคยได้รับความสนใจจากคนอื่น
พอกับคำบ่นของลุง ที่หลายคนฟังแบบผ่านไป แทนจะเก็บมาใส่ใจ
------------------------------------------------------------
นอกจากเชอรี่แล้ว ยังมีคนงานอีกคนที่ขยันจนมดเรียกพี่
เขาชื่อ "พี่เล็ก" เป็นสาวมอญ สัญชาติพม่า นัยตาคม
พี่เล็กทำงานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ปลูกต้นไม้ ตัดแต่ง ขัด ถู ปูเตียง ฯลฯ
เรียกว่าขอให้บอกเถอะ พี่เล็กจัดให้!
ฉันทำงานกับพี่เล็กหลายวันแล้ว
แต่วันนี้เป็นวันที่ intensive course สุด ต้องอยู่ด้วยกัน 2 : 2
จึงมีเวลาคุยกันมากหน่อย
พี่เล็กแตกต่างจากคนอื่น ตรงที่พี่เล็กช่างคิด เอาใจเขาใส่ใจเรา
และตั้งใจทำงานอย่างประเสริฐ
ในบทสนทนาฉันเผลอพูดโดยไม่ทันคิดว่า
"อยากขยันแบบพี่เล็กบ้างจัง.."
"พี่ว่าน้องแนนก็ขยันนะ ก็เห็นทำอะไรตลอด"
"ตายจริง ดีใจจังที่พี่เล็กชม แถมชมว่าขยันนี่..สุดยอด"
"คนเรามันขยันกันได้หลายแบบนะ บางคนขยันเรื่องเบาๆ"
เอ่อะ คำนี้ทำให้ฉันต้องคิด ว่าอะไรคือการขยันเรื่องเบา
อาจจะเป็นเร่ืองไร้สาระละมั๊ง
"น้องแนนไม่คิดถึงแม่บ้างเหรอ?"
"คิดถึงสิ อยากกลับกรุงเทพฯจะตาย"
"อดทนนะ คิดถึงก็กลับบ้านบ้าง"
คำพูดพี่เล็กทำฉันผู้ตัดกิ่งไม้อยู่น้ำตาคลอนิดๆ
และมีแรงที่จะทำสิ่งต่างๆต่อไป
อย่างน้อยก็ในวันนี้
------------------------------------------------------------
มองย้อนกลับไป ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันทำอะไรหลายอย่าง
ที่คิดว่าชาตินี้ก็ทำไม่ได้
แต่ฉันสามารถทำมันจนกลายเป็นชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว
ฉันตื่นตี 5 ครึ่ง มาเริ่มทำงาน
ฉันทำงานได้หลายหลากรูปแบบ
สุดท้ายบทเรียนที่เราคิดว่าเราจะทำ เราจะเรียน
มันอาจจะต้องเริ่มจากสิ่งง่ายๆ
คือการ "ทำ" ให้มากกว่า "พูด"
เพราะถ้าคนยอมรับในการกระทำของเรา
เราจะพูดคำสั้นๆ เพียงเล็กน้อย
มันจะเป็นคำที่ยิ่งใหญ่เสมอ
วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : ตัดสินใจ 1 ที กระเด้งไปอีก 3 ที
อายุที่เลยผ่านมาจนวันนี้ วันสุดท้ายที่ฉันจะอายุ 27 ปี
ทำให้ฉันได้คิด และได้ผ่านการตัดสินใจมาหลายต่อหลายครั้ง
หลายที ที่ฉันคิดว่าฉันตัดสินใจดีที่สุดแล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
หลายหน ที่คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือหายนะ
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องโคตรพิเศษ
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องกันนะ?
การตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดของฉัน
คือการที่ฉันตัดสินใจย้ายมาทำงานอยู่ที่กาญจนบุรี
อพยบจากถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างกทม.
ห่างไกลจากแม่ เพื่อน แมว หมา และทุกอย่างที่ฉันเคยชิน
มาอยู่กลางป่าตรงนี้
ในเดือนแรก ที่นี่คือหายนะ
การปรับตัว ปรับใจใหม่ทั้งหมด
ต้องใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน
ต้องจากความสุข ความรักที่เคยได้รับ
มาอยู่ในที่ห่างไกล ที่ไม่เห็นจะมีพื้นที่ไหนเป็นของเรา
มันอาจจะเป็นบทเรียนหนึ่งที่ฉันต้องเรียนรู้
เราอาจจะไม่รู้เลยว่าการที่เราทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ตรงนี้
มันจะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างไรบ้าง
ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่สุดท้ายในชีวิตฉัน
แต่ก็สอนอะไรให้ฉันมากมาย
และทำให้ฉันได้ทำ ในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
รวมถึงได้เห็นว่าตัวเองมีความสามารถซ่อนอยู่อีกเพียบ
กลับมาเรื่องการติดสินใจอีกครั้ง
แม้จะมีความฝัน ความต้องการ และความอยาก
วิ่งเข้ามาชน รุมสุมทรวง ทะลวงอกฉันทุกวี่วัน
แต่ฉันก็ยังเชื่อ ว่าในทุกการติดสินใจของเรา
ถ้าเรามีสติ และคิดอย่างดีแล้ว
มันจะพาเราไปสู่อะไรสักอย่างที่ดีแน่นอน
เพราะสุดท้าย คำตอบที่ดีที่สุด มันไม่มีอยู่ในชีวิตจริงหรอก
มีแต่คำตอบที่เหมาะกับเราที่สุด
และคำตอบที่ทำให้เราเติบโตได้มากที่สุดต่างหาก
ขอให้ทุกคนตัดสินใจได้มั่นคงขึ้นทุกวัน : )
ทำให้ฉันได้คิด และได้ผ่านการตัดสินใจมาหลายต่อหลายครั้ง
หลายที ที่ฉันคิดว่าฉันตัดสินใจดีที่สุดแล้ว
แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่
หลายหน ที่คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือหายนะ
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องโคตรพิเศษ
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องกันนะ?
การตัดสินใจครั้งใหญ่ครั้งล่าสุดของฉัน
คือการที่ฉันตัดสินใจย้ายมาทำงานอยู่ที่กาญจนบุรี
อพยบจากถิ่นฐานบ้านเกิดอย่างกทม.
ห่างไกลจากแม่ เพื่อน แมว หมา และทุกอย่างที่ฉันเคยชิน
มาอยู่กลางป่าตรงนี้
ในเดือนแรก ที่นี่คือหายนะ
การปรับตัว ปรับใจใหม่ทั้งหมด
ต้องใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ที่ฉันไม่เคยทำมาก่อน
ต้องจากความสุข ความรักที่เคยได้รับ
มาอยู่ในที่ห่างไกล ที่ไม่เห็นจะมีพื้นที่ไหนเป็นของเรา
มันอาจจะเป็นบทเรียนหนึ่งที่ฉันต้องเรียนรู้
everythings happen for a reason.
เราอาจจะไม่รู้เลยว่าการที่เราทำอะไรก็ไม่รู้อยู่ตรงนี้
มันจะส่งผลต่ออนาคตของเราอย่างไรบ้าง
ที่นี่อาจจะไม่ใช่ที่สุดท้ายในชีวิตฉัน
แต่ก็สอนอะไรให้ฉันมากมาย
และทำให้ฉันได้ทำ ในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้
รวมถึงได้เห็นว่าตัวเองมีความสามารถซ่อนอยู่อีกเพียบ
กลับมาเรื่องการติดสินใจอีกครั้ง
แม้จะมีความฝัน ความต้องการ และความอยาก
วิ่งเข้ามาชน รุมสุมทรวง ทะลวงอกฉันทุกวี่วัน
แต่ฉันก็ยังเชื่อ ว่าในทุกการติดสินใจของเรา
ถ้าเรามีสติ และคิดอย่างดีแล้ว
มันจะพาเราไปสู่อะไรสักอย่างที่ดีแน่นอน
เพราะสุดท้าย คำตอบที่ดีที่สุด มันไม่มีอยู่ในชีวิตจริงหรอก
มีแต่คำตอบที่เหมาะกับเราที่สุด
และคำตอบที่ทำให้เราเติบโตได้มากที่สุดต่างหาก
ขอให้ทุกคนตัดสินใจได้มั่นคงขึ้นทุกวัน : )
วันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : ภาษาพาเพลิน
ก่อนจะมาทำงานที่นี่ ฉันคิดว่าต้องได้เรียนรู้ภาษารัสเซีย
เพราะเป็น Target หลักของที่แพ ได้เจอกันทุกวัน
ซึ่งก็แน่นอนว่าฉันต้องฝึกพูดคำทั่วๆไป ที่ต้องพูดทุกวัน
และก็อีกนั่นแหละ ฉันต้องจดเป็นคำๆที่ฉันจะจำการออกเสียงได้ เช่น
บอกเลยว่าคำเหล่านี้มาจากการแอบฟัง แอบจด และแอบจำทั้งสิ้น
และนอกจากภาษารัสเซียที่ได้ชื่อว่ายากนักหนาแล้ว
นี่คือส่วนหนึ่งจากการเรียนรู้แบบถามคำ ตอบสองคำของหรรษา
บางคนถามว่า ทำไมไม่เอาเวลาไปจำภาษารัสเซียไม่ดีกว่ารึ?!
คือ .. คนรัสเซียที่เจอเนี่ย เจอกันวันเดียวมันก็ไปจากเราละ
แต่คนพม่าที่ทำงานให้เราเนี่ย!! ต้องอยู่กันไปอีกกี่วัน!
เรียนภาษาพม่านี่แหละ ถือว่าต้อนรับ AEC!!
หมายเหตุ : ก่อนหน้าจะเรียนภาษาพม่า ฉันฝึกภาษามอญ
จนเริ่มจะจับสำเนียงได้
เชอรี่ก็มาบอกฉันว่า
"พี่แนนจะเรียนภาษามอญทำไม ไม่ใช่ใครๆเขาก็พูดกันได้นะ
ที่แพเนี่ย มีทั้งมอญ ทวาย พม่า แต่ทุกคนพูดภาษาพม่าได้
พี่เรียนภาษาพม่าดิ"
ขอขอบคุณเชอรี่อีกทีมา ณ ที่นี้ด้วย
สุดท้าย ฉันไม่รู้หรอกว่าภาษาอะไร สำคัญกว่ากัน
รู้เพียงว่า..
ภาษาอาจจะทำให้เราเข้าใจกันยากขึ้น
แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้เราไม่เข้าใจกัน
ถ้าใจเราเปิดกว้างพอ
อ้าละเน้อ~
เพราะเป็น Target หลักของที่แพ ได้เจอกันทุกวัน
ซึ่งก็แน่นอนว่าฉันต้องฝึกพูดคำทั่วๆไป ที่ต้องพูดทุกวัน
และก็อีกนั่นแหละ ฉันต้องจดเป็นคำๆที่ฉันจะจำการออกเสียงได้ เช่น
สะปายสิบ้า = ขอบคุณ
สะปายสิบ้า วัม = ขอบคุณมาก
บาชอย = ใหญ่
มาริงกี้ = เล็ก
แอโต ซะโตยอิท = อันนี้ราคา.. (จิ้มเครื่องคิดเลขเอา)
โดเบรอุตตร้า = อรุณสวัสดิ์
โรม = เหล้ารัม (มักเรียกแสงโสม)
สะปาโกเอน่า โนเช่ = ราตรีสวัสดิ์
(นับเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ที่คนรัสเซียไม่รู้จักคำว่า Good Night!)
เปรียดญาว่า อะปิจิต้า = ขอให้กินข้าวให้อร่อย (อะไรประมาณนี้ละมั้ง)
อูดาจิห์ = โชคดี (น่าจะเป็นอย่างงั้น)
และนอกจากภาษารัสเซียที่ได้ชื่อว่ายากนักหนาแล้ว
ในขณะนี้ ฉันกำลังเรียนรู้ภาษาใหม่อีกภาษานั่นคือ ภาษาพม่า!!
"มิงกะลาบา" - สวัสดี
"เจ้สุตีนปาแด่" - ขอบคุณ
"ช่อแด" - สวย
"หะหล่าแด่" - สวยแบบหุ่นดี
"ทมินซ่าบีล่า"- กินข้าวหรือยัง
"นีนกูชิดเด่"- ฉันรักเธอ (จะจำมาทำไม!)
"ตะเตี้ยแด" - คิดถึง
"เอ้นง่ายละ"- ง่วงแล้ว
"ม่อละ" - เหนื่อยแล้ว
"ตาต้า" - บ๊ายบาย
นี่คือส่วนหนึ่งจากการเรียนรู้แบบถามคำ ตอบสองคำของหรรษา
บางคนถามว่า ทำไมไม่เอาเวลาไปจำภาษารัสเซียไม่ดีกว่ารึ?!
คือ .. คนรัสเซียที่เจอเนี่ย เจอกันวันเดียวมันก็ไปจากเราละ
แต่คนพม่าที่ทำงานให้เราเนี่ย!! ต้องอยู่กันไปอีกกี่วัน!
เรียนภาษาพม่านี่แหละ ถือว่าต้อนรับ AEC!!
หมายเหตุ : ก่อนหน้าจะเรียนภาษาพม่า ฉันฝึกภาษามอญ
จนเริ่มจะจับสำเนียงได้
เชอรี่ก็มาบอกฉันว่า
"พี่แนนจะเรียนภาษามอญทำไม ไม่ใช่ใครๆเขาก็พูดกันได้นะ
ที่แพเนี่ย มีทั้งมอญ ทวาย พม่า แต่ทุกคนพูดภาษาพม่าได้
พี่เรียนภาษาพม่าดิ"
ขอขอบคุณเชอรี่อีกทีมา ณ ที่นี้ด้วย
นี่คือภาษาพม่า
ต่อไปนี้คือ ภาษามอญ
สุดท้าย ฉันไม่รู้หรอกว่าภาษาอะไร สำคัญกว่ากัน
รู้เพียงว่า..
ภาษาอาจจะทำให้เราเข้าใจกันยากขึ้น
แต่ไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้เราไม่เข้าใจกัน
ถ้าใจเราเปิดกว้างพอ
อ้าละเน้อ~
วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : ปรัชญาการทำงาน
เมื่อวันก่อนมีรุ่นน้องมาปรึกษา เรื่องการลาออก
ว่าถ้าเราทำงานแล้วรู้สึกไม่อิน เราควรทำต่อไปไหม?
ฉันตอบง่ายๆ "ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ชีวิตเราแล้ว ก็ออก"
คำตอบง่ายๆ แต่ทำยาก
ฉันเชื่อว่าคนเราทุกคนต้องมีโจทย์ของชีวิตตัวเอง
และโจทย์ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
แตกต่างไม่พอ วันเวลาเปลี่ยนไป โจทย์ก็อาจจะเปลี่ยนตามอีกด้วย
ในวันหนึ่งของชีวิต โจทย์ของฉันคือการได้เป็น Copy Writer ที่ได้ทำงานโฆษณาเจ๋งๆ
ในวันหนึ่งของชีวิต โจทย์ของฉันคือการได้ทำเอ็มวีที่ใครๆดูก็ต้องชอบ
และในวันหนึ่งของชีวิต โจทย์ของฉันคือ ..
เออ โจทย์ของฉันตอนนี้คืออะไร?!
ขอตัดภาพกลับมาที่การทำงานของฉัน
สองวันนี้ ฉันทำงานกับเชอรี่ โดยเราทั้งคู่ได้รับภารกิจมหัศจรรย์เช่น
- ขัดขี้นกหน้าห้องแขก ให้ทันก่อนแขกจะเข้า
- ตัดกิ่งไม้หน้าห้องแขกให้เรียบร้อย
วันนี้คือภารกิจตัดกิ่งไม้ ที่ฉันทำกับเชอรี่เพียง 2 คน
ทำให้เราทั้ง 2 คนได้คุยกัน
นี่คือบทสนทนาบางส่วนที่ทำให้ฉันรักในตัวเชอรี่
"หนูบ้างาน หนูชอบทำงานมาก ใครจะพูดยังไงหนูไม่รู้
ขอให้หนูได้ทำงานเดินไปเดินมา หนูพอใจละ"
"แล้วเชอรี่ชอบทำงานอะไร?"
"ไม่รู้สิ..หนูชอบทำงานบริการมั๊ง พอมีแขกมาชมนะ หนูดีใจ๊ดีใจ
ทั้งที่เขาไม่ได้ชมหนูนะ อาหารหนูก็ไม่ใช่คนทำ แต่มันปลื้ม"
"หนูไม่ค่อยมีเพื่อน หนูคงเป็นคนเห็นแก่ตัว
หนูขี้รำคาญด้วย หนูอยากทำแต่งาน"
"หนูไม่ได้อยากแต่งงานนะพี่ แต่ตอนนั้นหนูมาเมืองไทยแรกๆ
หนูเพิ่งได้เจอพ่อกับแม่หนู เขามาเมืองไทยตั้งแต่หนูไม่กี่ขวบเอง
แล้วพอมาเจอกันตอนหนูอายุ 15 เขาก็หวงหนูมากกกก
ห้ามหนูยิ้มอ่ะพี่แนน หนูเลยไม่ค่อยมีคนคบ
จนหนูคิดว่าหนูจะฆ่าตัวตาย
วันนีงหลงมาชอบหนู หนูเลยโทรหาเขาบอกให้เขามารับหนูเลย
หนูจะหนีไปกับเขาละ หนูทนไม่ไหวแล้ว
เขาก็ไม่กล้ามารับหนูนะ กลัวๆ กล้าๆ
สุดท้ายก็มาพาหนูหนีไป หนูบังคับให้เขาพาหนูหนีนี่แหละ
สงสารเขานะ โดนหนูสั่ง สุดท้ายยังต้องมาเสียค่าสินสอดให้หนูอีก"
"อยู่กับหลงนะ เขายอมหนูทุกอย่าง
หนูบอกอย่ามายุ่งกับหนู หนูจะทำงาน เขาก็ทำงานบ้านให้
คือหนูกลับบ้านแล้วหนูไม่อยากทำงานอะไรแล้วอ่ะ
เขาก็ยอมหนู"
"มือถือเครื่องเนี๊ยะ หนูก็ไม่ได้อยากได้นะ แต่หลงซื้อมาให้
เขาอยากคุยเห็นหน้ากับหนู อยากไลน์กับหนู
เพราะโทรหาหนูแล้วหนูรำคาญ บอกจะทำงานๆ
เขาเลยบอก เดี๋ยวไลน์ไป ว่างเมื่อไหร่ก็ตอบนะ
ทุกวันนี้หนูก็ต้องคุยกับเขาทุกคืน ก่อนนอนวันละ 5 นาที
แค่เนี๊ยะ เขาก็พอใจละ"
"หนูสงสารเขานะ อยากให้เขาได้เจอคนดีๆ ไม่ใช่ท่อนไม้อย่างหนู"
"หนูบ้ามากนะพี่แนน หนูเก็บเงินเก่งมาก
ตอนทำงานที่เก่านะ หนูกินข้าวเช้า ข้าวกลางวันกับเขา
ตอนเย็นก็รับจ๊อบล้างจาน หนูก็กินข้าวเย็นกับเขา
วันไหนไม่มีงานทำนะ หนูก็ต้มมาม่า เด็ดเอาผักข้างบ้านมาต้มกินด้วย
หนูกับหลงอ่ะ หาเงินได้เดือนละ 3 หมื่นเลยนะ เก็บกันแหลกเลย
ตอนนี้หนูซื้อที่ไว้ละ แล้วก็กำลังสร้างบ้าน"
ถ้าให้เชอรี่ไปอยู่เมืองนอก มีฝรั่งเต็มเลย ไปไหม?
"ไปดิ มีงานให้หนูทำนะ หนูไปหมดอ่ะ อย่าเอาหนูไปนั่งเฉยๆ ก็พอ
แต่อยู่ที่นี่ดีนะ หนูได้ทำงานเยอะมาก ทำตลอดเวลาเลย มีความสุขมาก"
"ป้าบอกจะให้เงินหนูเยอะขึ้น หนูบอกอย่าเลย
เกิดหนูรวยละจะนอนเฉยๆ ได้เงินแค่นี้ก็เยอะแล้ว"
ตัดภาพกลับมาอีกที ว่าด้วยการลาออก แรงบันดาลใจ และโจทย์ในชีวิต
สุดท้ายแล้วทุกข์ทรมานของการทำงาน สำหรับคนๆหนึ่ง
อาจจะเป็นสวรรค์ของใครอีกคน
ในวันนั้น สิ่งที่ฉันบอกน้องคนนั้นไป คือคำที่ฉันใช้ปลอบตัวเองตอนมาทำงานที่นี่
"เราเลือกใช้ชีวิตได้ 2 แบบ
อย่างแรก คืออิจฉาคนทั้งโลก
กับอีกอย่าง คือใช้ชีวิตให้คนทั้งโลกอิจฉา"
ที่ผ่านมาฉันอาจจะใช้ชีวิตแบบแรก
แต่ต่อจากนี้ ฉันจะใช้ชีวิตให้ทุกคนอิจฉา
ชีวิตแบบเชอรี่..
"พี่ให้หนูเงียบวันนึงได้นะ แต่อย่ามามัดมือมัดขาหนูเลย หนูขอทำงานเหอะ
เราไม่ทำงาน เราจะทำอะไร
หนูจะไม่ยอมให้ใครว่า หนูทำงานไม่ดีเด็ดขาด
มันเสียศักดิ์ศรี!!"
ว่าถ้าเราทำงานแล้วรู้สึกไม่อิน เราควรทำต่อไปไหม?
ฉันตอบง่ายๆ "ถ้ารู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ชีวิตเราแล้ว ก็ออก"
คำตอบง่ายๆ แต่ทำยาก
ฉันเชื่อว่าคนเราทุกคนต้องมีโจทย์ของชีวิตตัวเอง
และโจทย์ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
แตกต่างไม่พอ วันเวลาเปลี่ยนไป โจทย์ก็อาจจะเปลี่ยนตามอีกด้วย
ในวันหนึ่งของชีวิต โจทย์ของฉันคือการได้เป็น Copy Writer ที่ได้ทำงานโฆษณาเจ๋งๆ
ในวันหนึ่งของชีวิต โจทย์ของฉันคือการได้ทำเอ็มวีที่ใครๆดูก็ต้องชอบ
และในวันหนึ่งของชีวิต โจทย์ของฉันคือ ..
เออ โจทย์ของฉันตอนนี้คืออะไร?!
ขอตัดภาพกลับมาที่การทำงานของฉัน
สองวันนี้ ฉันทำงานกับเชอรี่ โดยเราทั้งคู่ได้รับภารกิจมหัศจรรย์เช่น
- ขัดขี้นกหน้าห้องแขก ให้ทันก่อนแขกจะเข้า
- ตัดกิ่งไม้หน้าห้องแขกให้เรียบร้อย
วันนี้คือภารกิจตัดกิ่งไม้ ที่ฉันทำกับเชอรี่เพียง 2 คน
ทำให้เราทั้ง 2 คนได้คุยกัน
นี่คือบทสนทนาบางส่วนที่ทำให้ฉันรักในตัวเชอรี่
"หนูบ้างาน หนูชอบทำงานมาก ใครจะพูดยังไงหนูไม่รู้
ขอให้หนูได้ทำงานเดินไปเดินมา หนูพอใจละ"
"แล้วเชอรี่ชอบทำงานอะไร?"
"ไม่รู้สิ..หนูชอบทำงานบริการมั๊ง พอมีแขกมาชมนะ หนูดีใจ๊ดีใจ
ทั้งที่เขาไม่ได้ชมหนูนะ อาหารหนูก็ไม่ใช่คนทำ แต่มันปลื้ม"
"หนูไม่ค่อยมีเพื่อน หนูคงเป็นคนเห็นแก่ตัว
หนูขี้รำคาญด้วย หนูอยากทำแต่งาน"
"หนูไม่ได้อยากแต่งงานนะพี่ แต่ตอนนั้นหนูมาเมืองไทยแรกๆ
หนูเพิ่งได้เจอพ่อกับแม่หนู เขามาเมืองไทยตั้งแต่หนูไม่กี่ขวบเอง
แล้วพอมาเจอกันตอนหนูอายุ 15 เขาก็หวงหนูมากกกก
ห้ามหนูยิ้มอ่ะพี่แนน หนูเลยไม่ค่อยมีคนคบ
จนหนูคิดว่าหนูจะฆ่าตัวตาย
วันนีงหลงมาชอบหนู หนูเลยโทรหาเขาบอกให้เขามารับหนูเลย
หนูจะหนีไปกับเขาละ หนูทนไม่ไหวแล้ว
เขาก็ไม่กล้ามารับหนูนะ กลัวๆ กล้าๆ
สุดท้ายก็มาพาหนูหนีไป หนูบังคับให้เขาพาหนูหนีนี่แหละ
สงสารเขานะ โดนหนูสั่ง สุดท้ายยังต้องมาเสียค่าสินสอดให้หนูอีก"
"อยู่กับหลงนะ เขายอมหนูทุกอย่าง
หนูบอกอย่ามายุ่งกับหนู หนูจะทำงาน เขาก็ทำงานบ้านให้
คือหนูกลับบ้านแล้วหนูไม่อยากทำงานอะไรแล้วอ่ะ
เขาก็ยอมหนู"
"มือถือเครื่องเนี๊ยะ หนูก็ไม่ได้อยากได้นะ แต่หลงซื้อมาให้
เขาอยากคุยเห็นหน้ากับหนู อยากไลน์กับหนู
เพราะโทรหาหนูแล้วหนูรำคาญ บอกจะทำงานๆ
เขาเลยบอก เดี๋ยวไลน์ไป ว่างเมื่อไหร่ก็ตอบนะ
ทุกวันนี้หนูก็ต้องคุยกับเขาทุกคืน ก่อนนอนวันละ 5 นาที
แค่เนี๊ยะ เขาก็พอใจละ"
"หนูสงสารเขานะ อยากให้เขาได้เจอคนดีๆ ไม่ใช่ท่อนไม้อย่างหนู"
"หนูบ้ามากนะพี่แนน หนูเก็บเงินเก่งมาก
ตอนทำงานที่เก่านะ หนูกินข้าวเช้า ข้าวกลางวันกับเขา
ตอนเย็นก็รับจ๊อบล้างจาน หนูก็กินข้าวเย็นกับเขา
วันไหนไม่มีงานทำนะ หนูก็ต้มมาม่า เด็ดเอาผักข้างบ้านมาต้มกินด้วย
หนูกับหลงอ่ะ หาเงินได้เดือนละ 3 หมื่นเลยนะ เก็บกันแหลกเลย
ตอนนี้หนูซื้อที่ไว้ละ แล้วก็กำลังสร้างบ้าน"
ถ้าให้เชอรี่ไปอยู่เมืองนอก มีฝรั่งเต็มเลย ไปไหม?
"ไปดิ มีงานให้หนูทำนะ หนูไปหมดอ่ะ อย่าเอาหนูไปนั่งเฉยๆ ก็พอ
แต่อยู่ที่นี่ดีนะ หนูได้ทำงานเยอะมาก ทำตลอดเวลาเลย มีความสุขมาก"
"ป้าบอกจะให้เงินหนูเยอะขึ้น หนูบอกอย่าเลย
เกิดหนูรวยละจะนอนเฉยๆ ได้เงินแค่นี้ก็เยอะแล้ว"
ตัดภาพกลับมาอีกที ว่าด้วยการลาออก แรงบันดาลใจ และโจทย์ในชีวิต
สุดท้ายแล้วทุกข์ทรมานของการทำงาน สำหรับคนๆหนึ่ง
อาจจะเป็นสวรรค์ของใครอีกคน
ในวันนั้น สิ่งที่ฉันบอกน้องคนนั้นไป คือคำที่ฉันใช้ปลอบตัวเองตอนมาทำงานที่นี่
"เราเลือกใช้ชีวิตได้ 2 แบบ
อย่างแรก คืออิจฉาคนทั้งโลก
กับอีกอย่าง คือใช้ชีวิตให้คนทั้งโลกอิจฉา"
ที่ผ่านมาฉันอาจจะใช้ชีวิตแบบแรก
แต่ต่อจากนี้ ฉันจะใช้ชีวิตให้ทุกคนอิจฉา
ชีวิตแบบเชอรี่..
"พี่ให้หนูเงียบวันนึงได้นะ แต่อย่ามามัดมือมัดขาหนูเลย หนูขอทำงานเหอะ
เราไม่ทำงาน เราจะทำอะไร
หนูจะไม่ยอมให้ใครว่า หนูทำงานไม่ดีเด็ดขาด
มันเสียศักดิ์ศรี!!"
วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556
สาส์นจากแพกาญฯ : Butterfly Effect และ รักจุงเบย งิงิ งุงุ
เวลาเราคุยกันด้วยภาษาในโลกออนไลน์
คุณใช้ภาษาแบบถูกต้องทุกตัวอักษรหรือเปล่า?
ถ้าถามคำถามนี้ออกไป คนมากมายต้องส่ายหัว พลางบอกว่า
ก็ขี้เกียจพิมพ์
ก็เป็นวัยรุ่น
ก็นั่น ก็นี่ มากมายก่ายกอง
และที่สำคัญคือ
"มันก็อ่านออกไม่ใช่หรือไง!"
(แน๊ โดนด่ากลับอีกฉัน)
ใช่ มันอ่านออก
แต่จะเล่าอะไรให้ฟัง
เมื่อ 2-3 วันก่อน ฉันได้รับภารกิจลับจาก เชอรี่ สาวน้อยหน้าใสประจำแพ
ดังที่เคยกล่าวไว้ เชอรี่เป็นสาวเชื้อสายมอญ สัญชาติพม่า ที่มาอาศัยอยู่ในไทย
และตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในแพ
จุดเริ่มต้นของภารกิจนี้คือ สามีเชอรี่ซื้อมือถือเครื่องใหม่มาให้
เพื่อให้เชอรี่ฝึกภาษาไทย
และเพื่อใช้ติดต่อกับ (สามีเชอรี่อยู่ในเมืองกาญฯ จะเจอกันแค่เสาร์อาทิตย์)
เชอรี่จึงอยากมีเฟสบุคและไลน์
นั่นคือภารกิจ ฉันต้องสมัครเมลล์ / เฟสบุค และไลน์ให้เชอรี่
เมื่อมาถึงการกรอกอายุ
เชอรี่อายุ 24 แต่ในใบต่างด้าว เชอรี่อายุเพียง 22 เพราะ
"แม่หนูทำใบเกิดหนูหาย หนูเลยต้องไปทำใหม่ ในใบหนูเลยเด็กกว่า 2 ปี"
และที่อัศจรรย์สุดๆคือ นามสกุลของเชอรี่!
"หนูนามสกุล ร่รมสวัสดิ์"
"อ๋อ ร่มสวัสดิ์?"
"ไม่ค่ะ ร่รม ร.เรือ 2 ตัว"
"บ้า มันจะออกเสียงแบบนั้นได้ไง"
"จริงจริ๊งง พี่แนน ไม่เชื่อหนูไปดูในใบหนูได้เลย สะกดแบบนี้กันทั้งบ้านจริงๆ"
คาดว่านี้คงเป็น Butterfly Effect จากนายทะเบียนตาลายคนหนึ่ง
ที่สะกดผิด!
พาให้ตระกูลนี้ทั้งตระกูล มีนามสกุลที่ออกเสียงไม่ได้!!
หลังจากการสมัครแสนวุ่นวาย
(ทำให้รู้ว่า Facebook ทุกวันนี้สมัครยากเหลือเกิน)
ฉันก็จากไปทำงานอื่นๆ ที่พึงทำประจำวัน
จนเย็นย่ำ เชอรี่ไลน์มาหาฉัน เรียกไปกินข้าว
แน๊ ทุกวันนี้เด็กพม่าไลน์มาหาฉันได้แล้ว!
เจอเฟสบุคสาวคนนี้เมื่อไหร่
อย่าลืมใช้ภาษาที่ถูกต้องกับเธอนะคะ
คุณใช้ภาษาแบบถูกต้องทุกตัวอักษรหรือเปล่า?
ถ้าถามคำถามนี้ออกไป คนมากมายต้องส่ายหัว พลางบอกว่า
ก็ขี้เกียจพิมพ์
ก็เป็นวัยรุ่น
ก็นั่น ก็นี่ มากมายก่ายกอง
และที่สำคัญคือ
"มันก็อ่านออกไม่ใช่หรือไง!"
(แน๊ โดนด่ากลับอีกฉัน)
ใช่ มันอ่านออก
แต่จะเล่าอะไรให้ฟัง
เมื่อ 2-3 วันก่อน ฉันได้รับภารกิจลับจาก เชอรี่ สาวน้อยหน้าใสประจำแพ
ดังที่เคยกล่าวไว้ เชอรี่เป็นสาวเชื้อสายมอญ สัญชาติพม่า ที่มาอาศัยอยู่ในไทย
และตอนนี้ก็ทำงานอยู่ในแพ
จุดเริ่มต้นของภารกิจนี้คือ สามีเชอรี่ซื้อมือถือเครื่องใหม่มาให้
เพื่อให้เชอรี่ฝึกภาษาไทย
และเพื่อใช้ติดต่อกับ (สามีเชอรี่อยู่ในเมืองกาญฯ จะเจอกันแค่เสาร์อาทิตย์)
เชอรี่จึงอยากมีเฟสบุคและไลน์
นั่นคือภารกิจ ฉันต้องสมัครเมลล์ / เฟสบุค และไลน์ให้เชอรี่
เมื่อมาถึงการกรอกอายุ
เชอรี่อายุ 24 แต่ในใบต่างด้าว เชอรี่อายุเพียง 22 เพราะ
"แม่หนูทำใบเกิดหนูหาย หนูเลยต้องไปทำใหม่ ในใบหนูเลยเด็กกว่า 2 ปี"
และที่อัศจรรย์สุดๆคือ นามสกุลของเชอรี่!
"หนูนามสกุล ร่รมสวัสดิ์"
"อ๋อ ร่มสวัสดิ์?"
"ไม่ค่ะ ร่รม ร.เรือ 2 ตัว"
"บ้า มันจะออกเสียงแบบนั้นได้ไง"
"จริงจริ๊งง พี่แนน ไม่เชื่อหนูไปดูในใบหนูได้เลย สะกดแบบนี้กันทั้งบ้านจริงๆ"
คาดว่านี้คงเป็น Butterfly Effect จากนายทะเบียนตาลายคนหนึ่ง
ที่สะกดผิด!
พาให้ตระกูลนี้ทั้งตระกูล มีนามสกุลที่ออกเสียงไม่ได้!!
หลังจากการสมัครแสนวุ่นวาย
(ทำให้รู้ว่า Facebook ทุกวันนี้สมัครยากเหลือเกิน)
ฉันก็จากไปทำงานอื่นๆ ที่พึงทำประจำวัน
จนเย็นย่ำ เชอรี่ไลน์มาหาฉัน เรียกไปกินข้าว
แน๊ ทุกวันนี้เด็กพม่าไลน์มาหาฉันได้แล้ว!
เมื่อเดินไปกินข้าว เชอรี่เดินมาหาฉันด้วยหน้าตาตื่นเต้น ว่า
"หนูไลน์ไปหาพี่แนนถูกไหม?"
"อ่อ สะกดคำว่า หนู ผิด หนูต้องเป็นสระอู"
"อ่าวเหรอคะ หนูจดมาจากเวลาคนเขาส่งคุยกัน"
"..ไหน เอามาให้พี่ดูสิ ว่าสะกดอะไรบ้าง"
ทำใม
อัลไล
อยูไน
ยากจุงเบย
ฯลฯ
ฉันนั่งสอนเชอรี่ ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกที่ควรจะพิมพ์
คือ มันอาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับเรา
แต่สำหรับสาวพม่าหน้าใสคนนี้ เขาจดทุกอย่างที่ผิดๆ มาใช้!
พลางให้ฉันคิดไปจนถึงชื่อเฟสอีกหลายอันที่สะกดผิดๆ ภาษาวิบัติสุดๆ
ฤ เขาจะมีหลักการณ์เดียวกับเชอรี่นะ...
หวังว่าเรื่องนี้คงเป็นอุทาหรณ์ให้หลายคนที่กำลังใช้ภาษาวิบัตินะคะ
ลักนะ จุบุจุบุ
"เชอรี่ มันให้มีรูป Profile เอารูปไรดี"
"หนูยังไม่มีเลย"
"อ่ะ งั้นถ่ายเลยละกัน" กดเปิดกล้อง
"ไม่เอ๊า หนูไม่ชอบถ่ายย"
แสงหน้าจอวาบ
เจอเฟสบุคสาวคนนี้เมื่อไหร่
อย่าลืมใช้ภาษาที่ถูกต้องกับเธอนะคะ
สาส์นจากแพกาญฯ : ลาก่อน Exteen และการรับน้องริ้น
คืออยากจะอัพมาหลายวันล่ะ แต่ตอนนี้เหมือนจะ bad gate way ตลอดเวลา
หรรษาจึงขอหาที่ใหม่ในการระบาย
ตัดภาพกลับมาที่แพ
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราไปเป็นหน้าใหม่ของที่ไหน
เรามักจะโดนรับน้อง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ฉันกำลังโดนรับน้อง.. อย่างรุนแรง
เป็นการรับน้องที่ฉันไม่มีโอกาสเตรียมตัว
เป็นรับน้องที่โหด และสร้างบาดแผลให้กับตัวฉันมากมาย
ฉันโดนรับน้อง "ริ้น"
เอาจริงๆ ฉันไม่ค่อยจะเคยรู้จักริ้น
รู้จากสุภาษิตก็เพียง "ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม"
แล้วยังไง ริ้นคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง?
ฉันจึงเข้าไปดูใน wikipidia
เรื่องราวนังริ้นตัวร้าย
คือ..เดี๋ยวนะ
เราไม่เคยรู้จักกัน แต่เธอทำร้ายฉันขนาดนี้เลยเรอะ?!
ฉันเหมือนคนเป็นไข้เลือกออก และอีสุกอีใสเวลาเดียวกัน
ทุกคนที่เห็นขาฉันต่างตกใจ และคิดว่าฉันติดเชื้อ
แม้แต่พี่โทน ที่ช่ำชองเรื่องในป่า ยังบอกว่า
"ผมว่า..พี่เลิกไปตัดกิ่งไม้เถอะ"
จุดเริ่มต้น มันมาจากเม็ดเล็กๆ ใสใส
ทำให้พี่โทนคิดว่าฉันเป็น อีสุกอีใส
จนฉันเองก็เริ่มสับสนว่าฉันเป็นอีสุกอีใสหรือเปล่า
ตอนนี้มียาหลายขนาด (แม้แต่ยาแก้งูสวัด) ที่ให้ฉันเลือกทา
แต่รอยก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก
ใครมีวิธีต่อสู้กับริ้น รบกวนบอกด้วยนะคะ
ปล.บัดนี้ริ้นเริ่มลามมากัดในร่มผ้า และในเสื้อผ้าดิฉันแล้ว!
หรรษาจึงขอหาที่ใหม่ในการระบาย
ตัดภาพกลับมาที่แพ
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราไปเป็นหน้าใหม่ของที่ไหน
เรามักจะโดนรับน้อง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ฉันกำลังโดนรับน้อง.. อย่างรุนแรง
เป็นการรับน้องที่ฉันไม่มีโอกาสเตรียมตัว
เป็นรับน้องที่โหด และสร้างบาดแผลให้กับตัวฉันมากมาย
ฉันโดนรับน้อง "ริ้น"
เอาจริงๆ ฉันไม่ค่อยจะเคยรู้จักริ้น
รู้จากสุภาษิตก็เพียง "ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม"
แล้วยังไง ริ้นคืออะไร หน้าตาเป็นยังไง?
ฉันจึงเข้าไปดูใน wikipidia
เรื่องราวนังริ้นตัวร้าย
คือ..เดี๋ยวนะ
เราไม่เคยรู้จักกัน แต่เธอทำร้ายฉันขนาดนี้เลยเรอะ?!
ฉันเหมือนคนเป็นไข้เลือกออก และอีสุกอีใสเวลาเดียวกัน
ทุกคนที่เห็นขาฉันต่างตกใจ และคิดว่าฉันติดเชื้อ
แม้แต่พี่โทน ที่ช่ำชองเรื่องในป่า ยังบอกว่า
"ผมว่า..พี่เลิกไปตัดกิ่งไม้เถอะ"
จุดเริ่มต้น มันมาจากเม็ดเล็กๆ ใสใส
ทำให้พี่โทนคิดว่าฉันเป็น อีสุกอีใส
จนฉันเองก็เริ่มสับสนว่าฉันเป็นอีสุกอีใสหรือเปล่า
ตอนนี้มียาหลายขนาด (แม้แต่ยาแก้งูสวัด) ที่ให้ฉันเลือกทา
แต่รอยก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก
ใครมีวิธีต่อสู้กับริ้น รบกวนบอกด้วยนะคะ
ปล.บัดนี้ริ้นเริ่มลามมากัดในร่มผ้า และในเสื้อผ้าดิฉันแล้ว!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)