วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

สาส์นจากแพกาญฯ : ฉันเชื่อเสมอ เพราะเธอคือคู่ชีวิต

เคยเกิดคำถามไหม
ว่าการที่เราจะเลือกใครสักคนให้เข้ามาอยู่ข้างๆกันในชีวิต
มันควรต้องเลือกกันจากอะไร?

ต้องหน้าตาดี
ต้องมีฐานะ
ต้องบ้านรวย
ต้องทำงานเก่ง
ต้องขยัน
ต้องนิสัยดี
ต้องดูแลเราได้
ต้องเข้าใจกัน
ต้องอยู่ด้วยกันได้
ต้อง.. ต้อง..

ข้อแม้นับร้อยข้อ ผุดขึ้นมาในหัวสมองฉัน
กับการเลือกใครสักคนมาอยู่เคียงข้างกัน
ซึ่งทำให้ตัวฉันเอง ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครทนนิสัยคนอย่างฉันได้
คือ.. เอาจริงๆคือ ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่กันไปได้จนแก่ ว่างั้นเถอะ!

"ทำไมถึงแต่งงานกับพี่จา" ฉันถามพี่โทนขึ้นในวันนึง
วันที่เรานั่งรอแขกข้างบนเข้ามา Check-in
"คนเราทุกคน มันต้องมีเนื้อคู่นะลูกพี่
พูดไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกจา
แต่ผมเจอครั้งแรก ผมก็ชอบเลยนะ"

คือ ย้อนกลับไปประโยคที่คุยกันก่อนหน้านี้อีกนิด
พี่โทนเป็นพนักงาน (ขอเรียกว่าลูกน้องท่าจะเหมาะกว่า)
ที่ใส่ใจฉันแบบหาคนเทียบติดยากมาก
พี่โทนเห็นฉันเหนื่อยๆ และซึมๆ
"ลูกพี่ต้องมีคู่ละล่ะ เหมือนไก่ ถ้ามันมีคู่มันจะร่าเริง"
"ยาก ไม่รู้จะไปหาจากไหน หาให้หน่อยดิ" ฉันบอกพี่โทนไป
"ผมดูให้ลูกพี่อยู่ แต่ผมไม่รู้ลูกพี่จะชอบเขาไหม"
"เดี๋ยวนะ เราซึมเพราะเราเหนื่อยนะ ไม่เกี่ยวกับการโสด
เราไม่ใช่ไก่นะพี่โทน!!" ฉันเริ่มนึกได้
"วันนึงลูกพี่ก็จะเจอ คนที่ลูกพี่อยากอยู่ด้วย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ"
พี่โทนกล่าว

กลับมาที่การคุยเรื่องระหว่างพี่โทน กับ พี่จา
"แม่ผมกับแม่น้องจา รู้จักกัน แล้วผมก็ไม่ได้สนใจอะไร
เราเจอกันตั้งแต่เด็กแล้ว
ผมก็เข้ามาทำงานในเมืองไทย จนวันนึงผมโทรไปหาแม่น้องจา
แล้วน้องจารับ ผมเลยถามว่า ใช่น้องจาหรือเปล่า
เท่านั้นแหละ ผมเลยคุยยาวเลยวันนั้น!" พี่โทนเล่าแบบอมยิ้มเบาๆ

"แล้วผมก็ไปงานวัด วัดมอญตรงนี้แหละพี่ มันมีงาน
ตอนกำลังจะเวียนเทียนกัน ผมก็เจอน้องจาอีก
คือก่อนหน้านี้มันคุยกันนะ แต่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานานแล้ว
มาเจอกันที่วัด เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรผมเลย
แต่พอผมเจอ ผมก็รู้สึกคุ้นๆ เลยเดินไปทักว่า น้องจาลูกป้าหรือเปล่า
จาก็บอก ใช่ๆ เราก็เลยทักทายกัน แล้ววันนั้น ผมกับจาก็เวียนเทียนด้วยกัน"

"โห่ อย่างกับในหนัง นี่ได้เป็นพระเอกเลยนะเรา"
ฉันแซว เมื่อเห็นหน้าพี่โทนที่ออกจะคล้ำ แต่เริ่มมีสีแดงระเรื่อ

"โห่ ลูกพี่ ไม่เล่าละ!!"
"เออ เล่ามา ใช้อำนาจการเป็นลูกพี่สั่งให้เล่า!"
พี่โทนเรียกให้เราเป็นลูกพี่ โดยยกตำแหน่งนี้ให้เรา ในที่แพที่นี่เพียงคนเดียว ช่างน่าปลื้มใจ

"แล้วผมกับจาก็ทำงาน เราทำกันคนละที่
ก็คุยโทรศัพท์กันทุกวันเพราะไม่ได้เจอกัน
จะขี่รถไปหากันก็ไกล
คุยกันมาเป็นปีแหละ ระหว่างนั้นเขาก็มีคนเข้ามา ผมก็มีคนเข้ามา
แต่สุดท้ายเราก็ยังเลือกที่จะคุยกันเองมากกว่า
ผมคุยกับเขานานสุดแล้ว
แล้วเขาก็ยังไม่ยอมคบกับผม จนวันนึงผมทนไม่ไหว เลยบอกไปว่า
เอาไง จะแต่งไม่แต่ง ไม่งั้นจะแต่งกับคนอื่นละนะ!
จาเลยตกลงแต่งงานกับผม"

"เห้ย มัดมือชกนี่หว่า" 

"ลูกพี่! ตอนนั้นมันไม่ได้แล้ว จะเอาไง เลือกมาสักทาง ไม่อยากค้างคา
เราจะรักใคร มันต้องชัดเจนพี่"

"แล้วอะไรทำให้เลิกคุยกับคนอื่น แต่ไม่เลิกคุยกับคนนี้?"
ฉันถาม เพราะอยากรู้จริงๆ
พี่โทนเอง เป็นหนุ่มฮอตนะจะบอกให้!

"เพราะน้องจาเป็นผู้หญิงใจดี"

"ใจดี คือให้ขนมกินอ่ะนะ ฮ่า" ฉันยังแซวไม่เลิก

"ไม่ใช่อย่างงั้นสิลูกพี่ ใจดีหมายถึง จิตใจดี
เป็นคนคิดดี ไม่คิดจะทำร้ายใคร
ผมเลือกเขาที่เขาใจดี
เพราะเขาน่าจะใจดีกับลูกด้วย"

"แน่ใจว่าหมายถึงใจดีกับลูก ไม่ใช่ใจดีกับตัวเองเวลากลับดึกงี้"

"โอ้ย ลูกพี่นี่มัน..!!" พี่โทนทำท่าจะวิ่งเข้ามาเตะ

ว่าแล้ว รถบัสก็เลี้ยวเข้ามาพอดี
การโดนเตะ จึงถือว่ารอดตัวไป

สุดท้าย สิ่งที่ฉันเอากลับมาคิด
เราอาจจะต้องการคนใจดีสักคน
มาคอยประคับประคองชีวิตที่วุ่นวายกันไปหรือเปล่า?
สุดท้าย สิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต
ชื่อเสียง เงินทอง หน้าตา หรืออะไรก็ตามแต่
ที่เราหลายคนเคยตั้งเอาไว้
อาจจะไม่มีค่าอะไรเลย
ถ้าคนข้างๆ เราไม่ใช่คนที่สามารถทำให้เราสบายใจ
ในวันที่เราต้องทุกข์ใจที่สุด

ชีวิตเรา ..​ คงต้องเดินทางกันอีกไกล
ก็ไม่รู้ว่าทางไกลนั้น ความจริงแล้วมันจะยาว หรือสั้น
แต่คงดี ถ้าเรามีคนใจดี คอยเดินไปด้วยกัน

อย่างที่บอก ชีวิตเราต้องเจออะไรอีกมาก
ขอให้เราได้เจอคนที่จะโตไปพร้อมกัน
เรียนรู้ที่จะผิด หรือ ถูก
เรียนรู้ที่จะสุข หรือ เศร้า
เรียนรู้ที่จะสร้าง หรือ พัง
คนๆ นั้น ..
..ขอให้เราทุกคนได้เจอในสักวัน




 



 แด่พี่โทน กับความรักดี ดี : )







วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

สาส์นจากแพกาญฯ : โลกใบเดียวกัน ที่คนแบ่งออกเป็นหลายใบ

มันเป็นจุดเริ่มต้นของอะไรที่เล็กมากๆ
มันเกิดจาก เสียง "ตื้อดึ่ง" ของ Line
มันคือเสียง Line ของพนักงานคนหนึ่ง ที่ดังมาในช่วงเวลาพักเที่ยง

พ่อฉันเริ่มพูด ในขณะที่ฉันเองก็กำลังระรัวนิ้วพิมพ์ไลน์
"นี่มันเป็นไวรัส ไอ้พวกเกมออนไลน์ ทำให้ไม่รู้จักทำงานทำการ เล่นกันตลอดเวลา"

ฉันเหลือบตาขึ้นมามองเล็กน้อย
..แล้วเล่นต่อ

"คนพวกนี้นะ เราต้องเหยียบให้มันอยู่ในที่ของมัน อย่าให้มันเริ่มคิดจะทำอะไร
เพราะมันคิดไม่เป็น มันโง่ มัน..."
 แล้วพ่อก็เริ่มบ่นอะไรบางอย่าง ที่ขอละไว้ในการพิมพ์
 เพราะขนาดฟัง ฉันยังอยากจะกดปุ่ม mute ให้ไม่ได้ยินเสียงพ่อเลย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
ทำให้ฉันคิดต่อไป

เราควรจะทำอย่างไร เพื่อจะจัดการลูกน้อง(หรือลูกทีม)
ให้ทำงานกับเราอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ในโลกที่ทุกคนเสพติด Social Media?

และอีกประเด็นที่ฉันกังขาขึ้นมาเบาๆ
อะไรทำให้คนเรา กล้าจะแบ่งชนชั้นกับคนอื่น
คนที่มีโอกาสน้อยกว่าเรา?

อยากรู้ว่า ถ้าพ่อต้องไปนั่งคุยกับ Bill Gates หรือคนดังระดับโลกสักคน
พ่อจะทำยังไง?

มันน่าแปลก ที่วันนึง เมื่อเราโตอยู่ในจุดที่คนเริ่มมองเห็น
เรากลับเลือกที่จะไม่มองคนอื่นในระดับเดียวกับเรา

แม้จะเป็นเรื่องธรรมดา ที่คนบนเวที จะมองเห็นคนล่างเวทีได้ไม่ชัด
แต่อย่างน้อย ถ้าเราต้องการจะสื่อสารกับคนข้างล่าง
เราอาจจะต้องพยายามมากกว่าเดิมหรือเปล่า?

ฉันอาจจะเป็นเด็ก
ฉันจึงคิดอะไรแบบเด็กๆ
และหลายครั้ง ออกแนวจะเป็นเด็กโง่ด้วยซ้ำ

ฉันรู้สึกว่าทุกคน ควรมีความสุขในการทำงาน
งานที่ทำ ถ้าทำเพื่อให้ได้เงินอย่างเดียว
ลาออกเหอะ

เงิน ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้ เป็นเร่ืองจริง
แต่เงิน ไม่สามารถทำให้เราตอบโจทย์ชีวิตได้ในหลายๆ เรื่อง
อย่างน้อย ก็เช่นเรื่องการที่เราภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่หรือเปล่า?

ถ้าเราทุกคน ไม่เคยมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ
สิ่งที่เราทำ อาจจะมีประโยชน์ต่อคนเป็นร้อย
แต่กลับไม่มีความหมายต่อคนที่สำคัญที่สุด
นั่นคือ "ตัวเรา" เอง


ทุกวันนี้ ฉันทำงานที่ฉันไม่ได้รัก
แต่ฉันรู้ว่าฉันทำมันได้
งานที่ฉันทำ อาจจะไม่ใช่ครีเอทีฟ นั่งในห้องแอร์ เหมือนเมื่อก่อน
มันเป็นแค่การเจอกับชาวบ้าน ทำความสะอาด เก็บกวาดใบไม้
แต่ฉันก็เลือกจะมองมันในมุมที่ว่า
"ถ้าไม่มีใครทำ คนที่มาเที่ยวจะต้องเจอกับที่สกปรกนะ นี่มันเป็นงานระดับประเทศนะ"
"ถ้าไม่กวาดใบไม้ มันจะเหมือนที่รกร้างอาจมีงู เราต้องสร้างความปลอดภัย"
"ถ้าไม่รดน้ำต้นไม้ ต้นไม้จะตาย เรากำลังสร้างออกซิเจนให้โลก"
 ฯลฯ

งานง่ายๆ ที่ทำให้ฉันมองโลกเปลี่ยนไป
งานที่ทำให้ฉันมองว่า ทุกคนมีความหมายในทุกตำแหน่ง

ตัดกลับมาอีกครั้ง
เรื่องคุณค่าของงานที่ทำ
ฉันเห็นคุณค่าของงานทุกงานที่ฉันทำ
แต่ฉันจะสนุกกับมันถึงเมื่อไหร่?
ไม่มีใครรู้หรอก

การอยู่ที่นี่ ฉันมีเป้าหมายของฉัน
ถ้าวันนึง มันบรรลุแล้ว
ฉันก็ไปเหมือนกัน

เพราะ..
ไม่มีใครควรต้องอดทนทำ
ในสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่กับตัวเอง

ตัดภาพกลับมาอีกที
พ่อฉันยังคงพูดเรื่องน่าเบื่อๆ เหมือนฉันดูละคร ลูกทาส อยู่
ยุคสมัย เปลี่ยนไปประมาณชาติเศษแล้ว
ไม่มีใคร ต้องทำงานให้ใครแบบขี้ข้าอีกต่อไป
โลกของนายจ้างต้องหัดมีความคิดแบบ
"เอาใจเขามาใส่ใจเรา" เสียบ้าง

หมดเวลาเป็นเจ้าเหนือชีวิตใคร
ความจำเป็นของทุกคน มีความสำคัญเท่ากัน
คนจนจะไปส่งลูก
คนรวยจะไปส่งลูก
เนื้อหาสาระ ก็สำคัญเหมือนกัน

ตลกดี ที่เราอยู่ในโลกที่คอยบอก
อยากสร้างความปรองดอง อยากให้ทุกคนอยู่อย่างสันติ
แต่กลับเลือกจะแบ่งชนชั้นกันทุกทาง 



 หมายเหตุ
: เรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการจะกล่าวถึงบุพการีในทางที่ไม่ควร แค่รู้สึกว่าคนเราทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงออกทางความคิดเห็น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เอาหมายเหตุใหม่ดีกว่า เผื่อคนจะมองว่าเรานิสัยไม่ดี 
:   เรื่องข้างต้น เป็นเร่ื่องราวสมมติ ตัวละครทุกตัวที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการยกตัวอย่าง หากมีการร้อนตัว หรือด้วยเหตุอันใด ขอบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับดิฉันโดยสมบูรณ์แบบ

สวัสดี


 


วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

สาสน์จากแพกาญฯ : การร่ำลาที่ไม่มีคำว่า "บ๊ายบาย"

อากาศร้อนเริ่มวนมาในชีวิต
เสื้อกันหนาวที่เคยหวงแหนนักหนา
ตอนนี้อยากเอาไปปาหัวหมาทิ้ง

นี่คือสัญญาณของ Low Season

ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวจะสงบเสงี่ยม
ทัวร์ที่เคยวนเวียนมาวันละหลายบัส
จะเริ่มถอยมาเหลือน้อยลง
หลายคนบอกมันเป็นช่วงเวลาตกงาน
หลายคนบอกมันเป็นช่วงเวลาของการท่องเที่ยว
สำหรับฉัน มันคงเป็นช่วงเวลาที่ฉันจะได้เตรียมตัวสอบ IELTS สักที

และในทุกการเปลี่ยนแปลง
ก็มีการเปลี่ยนแปลง

พี่เก่ง ลาออก
และกลับไปสู่ที่ที่เขาจากมา
"เชียงใหม่"

เรื่องของการจากไปของพี่เก่ง
เป็นเรื่องที่ฉันได้ยินมานาน จนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เลื่อนลอย
ใครต่อใครมักบ่นเรื่องจะลาออกจากงาน
ฉันจึงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของพี่เก่งมากนัก

จนกระทั่งเหตุผลต่างๆ เริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

"ผมว่าร่างกายผมเริ่มไม่ไหวแล้ว"
"ลูกชายผมมันไม่อยากเรียนต่อ มันบอกมันอยากทำงาน"
"บ้านผมไม่มีใครช่วยงานเลย มีแต่คนแก่ทั้งนั้นด้วย"
ฯลฯ

ยังไม่รวมถึงเรื่องกดดันจากป้า และลุง และใครอีกมากมาย

มันเป็นมุมมองความกดดันจากมุมต่าง
คนจ่ายเงิน รู้สึกอยากได้การทำงานที่คุ้มค่า
คนทำงาน รู้สึกอยากได้เงินที่คุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไป

"ผมจะกลับวันที่ 9 มีนานี้แล้ว ที่บ้านผมจะขับรถมารับ"

นี่คือประโยคที่ฉันฟังแล้วยืนนิ่งไปสักพัก

"วันนั้นเราไม่อยู่ด้วยดิ กลับบ้าน" ฉันบอก
โดยที่รู้ว่าคนฟังก็คงไม่สามารถจะรอฉันกลับมา
"โหย อดปาร์ตี้อำลาเลย" พี่เก่งแค่นหัวเราะ
บอกตรงๆ ฉันพูดไม่ถูกว่าฉันดีใจ หรือเสียใจ
ในวันที่เพื่อนคนแรกของฉันจะจากสถานที่นี้ไป

1 วัน ก่อนฉันจะกลับกรุงเทพฯ เป็นวันที่ทั้งป้าและลุงเดินทางไปเชียงใหม่
ไม่เกี่ยวกับการกลับบ้านของพี่เก่ง
ทั้งคู่แค่ไปเที่ยว

วันนั้น พี่เก่งไลน์มา
"พี่น้อง ไปเปิดหูเปิดตากันดีกว่า"
พอฉันเปิดอ่าน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เปิดมาเป็นพี่เก่ง
"ไปๆ ไปกินลมกันสักหน่อยดีกว่า"
"จะไปกันยังไงล่ะ กุญแจรถก็ไม่มี" ฉันถาม
"เดี๋ยวยืมรถใครไปก็ได้ เยอะแยะ"
เราทั้งคู่จึงยืมรถน้องชายพี่โทนไป

มอเตอร์ไซด์เบรคไม่ดีคันนั้น
ขับพาเราออกไปตามเส้นทางที่ฉันไม่เคยไป
"เวลาขี่มาทางนี้ มันออกถนนใหญ่ง่ายกว่า
จะได้ไม่ต้องไปอ้อม" พี่เก่งพาฉันมาเพื่อบอกเส้นทาง

พี่เก่งขี่มอไซด์ช้ามาก
"พี่เก่ง ขี่มอไซค์เก่งประเนี่ย?!"
"โอ้ย ขึ้นอยู่กับว่า เราวัดความเก่งกันที่อะไรมั้งครับ"

แล้วเราทั้งคู่ก็ไปร้านกาแฟประจำ ตรงไทรโยคใหญ่
นั่งกินกาแฟ ตอนเกือบเที่ยง
ลมร้อนพัดมาตีหน้า แต่เมื่อนั่งในที่ร่ม
มันก็ราวกับเป็นลมเย็น

บทสนทนาต่างๆ พรั่งพรูออกมาเช่นเดิม
เราทั้งคู่ ไม่พูดถึงเรื่องการกลับบ้านของเขา
รวมถึงไม่พูดด้วยว่า การออกมาครั้งนี้
..คงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพี่เก่งกลับบ้าน

คืนนั้น ฉันเขียนโปสการ์ดถึงพี่เก่ง
 แนบใส่หนังสือ "ประโยคย้อนแสง" ของประภาส
และฝากให้พี่เก่งในวันที่เขากลับบ้าน

แล้วตัวฉันก็เดินทางกลับกทม.

มันเป็นเรื่องที่น่าแปลก
บางการร่ำลา
ก็ไม่สมควรมีคำลา

บางทีเราอาจจะเศร้าเพราะโลกนี้มีคำว่า "บ๊ายบาย"

สุดท้าย วันที่พี่เก่งออกเดินทาง
ฉันไลน์มาหาเขาจากกทม. เพื่อถามเขาว่าออกเดินทางหรือยัง
รวมถึงได้ของที่ฉันฝากไว้ไหม?

"ได้แล้วครับ กำลังอ่านอยู่เลย"
"ผมเชื่อว่า เราต้องได้เจอกันอีก"

มิตรภาพมันก็แบบนี้แหละ
อาจจะต้องจากกันไป เพื่อแยกกันไปเติบโต
แต่ก็รู้ว่า ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกัน

ฉันยิ้มเมื่ออ่าน
เพราะประโยคสุดท้ายที่ฉันเขียนในโปสการ์ดคือ
"see you next station : Chiang Mai!!"


การที่คนเราได้เจอกัน
ครั้งแรก เพราะเราสมควรจะเจอกัน
จากนั้น เพราะเราอยากเจอกัน

..แล้วเจอกันนะทุกคน!